กองทุนหมู่บ้านมีอยู่ในทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ
การเข้ามาของกองทุนหมู่บ้านมีผลกระทบต่อกองทุนที่มีอยู่เดิมอย่างไร..
ผลระยะสั้น “ต่อสมาชิก” ดูจะไม่ต่าง คือ สมาชิกมีทางเลือกมากขึ้น มีทางหมุนเงินมากขึ้น (จะดีหรือเสียอย่างไรเป็นอีกประเด็นหนึ่ง) แต่ “ผลต่อกลุ่มดั้งเดิม” นั้นเป็นอย่างไร .. ทีมวิจัยช่วยกันคิด... แน่นอนว่า คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน
ที่ชัยนาท กองทุนหมู่บ้านทำให้กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตเติบโตขึ้น ด้วยเหตุที่
· กรรมการกำหนดให้ผู้เข้ามาเป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านต้องไปออมกับกลุ่มออมทรัพย์อย่างน้อย 6 เดือนก่อน
· กลุ่มออมทรัพย์กับกองทุนหมู่บ้านกำหนดอัตราดอกเบี้ยเท่ากัน
· กติกาสองกองทุนนี้ดูจะใกล้เคียงกัน (ต้องสำรวจรายละเอียดเพิ่ม)
ภาพเชิงลบเกิดขึ้นที่บ้านเปร็ดใน จังหวัดตราด กล่าวคือ กองทุนหมู่บ้านมีผลเชิงลบต่อกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรและกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ เรื่องของเรื่องก็คือ สมาชิกที่จะได้กู้จากกลุ่มสัจจะฯนั้นต้องยอมรับกติกากลุ่มซึ่งผนวกเอากติกาของการอนุรักษ์ทรัพยากรไว้ด้วย
เมื่อกองทุนหมู่บ้าน (กองทุนเงินล้าน) เข้ามา สมาชิกที่ละเมิดกติกาการอนุรักษ์ทรัพยากรก็สามารถกู้ยืมจากกองทุนเงินล้านได้
“มันทำให้เกิดสองมาตรฐานในหมู่บ้านเดียวกัน” แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ที่เป็นประธานกลุ่มสัจจะฯด้วยบอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ปีแรก เราขอรับแค่เงินกองทุนแต่ขอให้ใช้กติกาเดิมที่เรามีอยู่ แต่ราชการบอกว่าไม่ได้ เพราะกฎระเบียบของเขาต้องใช้เหมือนกันทั่วประเทศ เราจึงปฏิเสธไม่รับกองทุนหมู่บ้าน”
“แต่ปีที่สอง เราถูกทางการบังคับให้ต้องรับกองทุน” กลุ่มสัจจะฯอาจไม่สามารถใช้เงินเป็นเครื่องมือพัฒนาได้อย่างที่เคยเป็น
โชคดีที่กองทุนเงินล้านปล่อยกู้ได้แค่ไม่กี่แสน...
“เพราะสมาชิกต้องการกู้ระยะยาว และเงินจำนวนมาก แต่กองทุนเงินล้านกู้ได้ไม่กี่หมื่นแค่หนึ่งปี”
เมื่อเราเอาภาพของชาวบ้านที่มีอาชีพทำสวนผลไม้ สวนยางพารา ประมงพื้นบ้าน ไม่ใช่พืชไร่ล้มลุก ก็ทำให้เห็นภาพว่า รอบการกู้ยืมของกองทุนเงินล้านไม่สอดคล้องกับการผลิตของพื้นที่ [เช่นเดียวกับที่ชัยนาท ที่ชาวบ้านต้องการกู้ถี่กว่าหนึ่งปี (ตรงข้ามกับการกู้ระยะยาวที่ตราด) เพราะต้องใช้ทำนาหลายรอบในปีหนึ่งๆ แต่กองทุนหมู่บ้านหลายหมู่ให้กู้แค่ปีละครั้ง เหตุเพราะกรรมการไม่มีเวลามาทำบัญชีให้หลายๆรอบ] การใช้กติกาเดียวทั่วประเทศจึงเป็นข้อจำกัดของกองทุนเงินล้าน
ชาวบ้านที่ตราดโชคดีที่มีกลุ่มสัจจะฯซึ่งมีเงื่อนไขการกู้สอดคล้องกับพื้นที่ (เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มต้นแบบเอง) และกลุ่มสัจจะฯในหมู่บ้านมีเงินมากพอ (ประมาณสิบล้าน) และยังมีเครือข่ายระดับจังหวัดหนุนเสริม [ในขณะที่กองทุนหมู่บ้านที่ชัยนาทมีเงินไม่เพียงพอกับความต้องการ] กลุ่มสัจจะฯจึงยังเป็นที่พึ่ง และสมาชิกยังต้องรักษากติกากลุ่มที่ผนวกการอนุรักษ์เอาไว้
“เราตรวจสอบบัญชีไขว้กันระหว่างหมู่บ้าน เช่น หมู่ 3 มาตรวจบัญชีของหมู่ 2 สิ้นปีเครือข่ายจังหวัดจะช่วยตรวจสอบด้วยอีกรอบ พระสุบินท่านจะลงมาดูเอง” แกนนำอธิบาย
เมื่อถามถึงการตรวจสอบบัญชีของกองทุนหมู่บ้าน แกนนำกลุ่มสัจจะฯ บอกว่าไม่รู้
เรานึกขึ้นได้ว่า เมื่อลงสำรวจพื้นที่ชัยนาท นักวิจัยลืมสำรวจเรื่องกระบวนการตรวจสอบบัญชีไปเสียสนิท
... เราพอได้ภาพเบื้องต้น เพื่อทำงานต่อ....
เงินหนึ่งล้านบาทต่อหมู่บ้าน (ประมาณ 100 ครัวเรือน) เพียงพอหรือไม่กับการผลิตแบบกระแสหลัก คำตอบคือ ตอบไม่ได้ บางที่เงินไม่พอ บางที่เงินเหลือ ทั้งนี้ ต้องดูภาพรวมของปริมาณเงินหมุนเวียนที่มีอยู่ (supply) ในพื้นที่ ดอกเบี้ยและเงื่อนไขการกู้ยืมโดยจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ทั้งความเข้มงวดและความสอดคล้องกับความต้องการเงินทุนในพื้นที่
ผลของการมีหลายกองทุนนั้น นอกจากสนับสนุนการหมุนเงินของสมาชิกแล้ว (เพราะเพิ่มรอบของการให้บริการเงินกู้) ยังอาจมีผลเสียต่อความสามารถในการรักษากติกาชุมชนของกองทุนที่มีกติกาเข้มข้นกว่า แสดงว่าอาจสร้างผลลบเชิงสังคมได้
อาจารย์ครับผมประธานกทบ.ในพื้นที่จังหวัดลำปาง(มีธรรมศาสตร์ด้วย)ผมเพิ่งเข้ามารับหน้าที่ไม่นานสะสางงานไปแทบกระอักเลือดก็พอจะดำเนินต่อไปได้แต่ที่นี้มันยังไม่รู้สึกถึงว่าจะทำให้กทบ.อยู่รอดได้อย่างไรเป็นภาพที่ยังไม่เห็นผมอยากให้ช่วยหน่อยครับไม่ว่าเป็นเรื่องของการบริหาร การเงิน บัญชี หรือจะเป็นงานวิจัยของอาจารย์ก็ได้ครับอยากให้มีนักวิชาการมาดูแลหน่อยครับ.....ถ้าเป็นไปได้ขอบคุณครับ
ติดต่อได้เลย 083-154-5834 บอยครับ