สวัสดีค่ะคุณหมอเล็ก และพี่ๆน้องๆที่แวะมาร่วมสนทนา : )
ชื่อบันทึกนี้เร้าใจจริงๆค่ะคุณหมอเล็ก พี่แอมป์ยังคงเดินหน้าโครงการครอบครัวศึกษาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพูดประโยคขึ้นต้นว่า "ครูจะไปแต่งงาน" กับนักศึกษาทุกรุ่น ตั้งแต่ผมสีเดียวจนผมสองสี เด็กรุ่นนึงเคยแซวว่า "หนูว่าจารย์พิมพ์การ์ดเลยดีกว่าค่ะ"
พี่เลยบอกเธอด้วยความเอ็นดูว่าจะทำการสิ่งใด จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ก่อนจะพิมพ์การ์ด ก็ต้องล็อคคอถามให้แน่ใจว่าเขาจะให้ยืมใช้นามสกุล เธอก็หัวเราะคิกคักชอบใจกันใหญ่ : )
พี่คิดว่าเรื่องแต่งงานนี้สนุกแท้ เรามองให้เป็น พิธีกรรม ก็ได้ หรือมองให้เป็น วิธีการ ก็ได้ พี่เองเมื่อแก่ๆเข้าก็ได้ร่วมอยู่ในพิธีกรรมเช่นนี้บ่อยครั้ง ตั้งแต่เป็นแขก เป็นเพื่อนเจ้าสาว ไปจนกระทั่งเป็นพิธีกร ล่าสุดก็ผันตัวเองเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าภาพ เพราะเป็นงานของน้องสาวผู้เป็นญาติสนิท รู้สึกว่าได้เลื่อนขั้นเร็วดี จากตัวประกอบข้ามพรวดเดียวเป็นแม่นางเอก รู้เรื่องกันไปเลย อิอิ
อันว่าพิธีกรรมชุดนี้แม่พี่ทำมานานโดยเริ่มมาจากช่วยจัดขันหมาก(เพราะสอนคหกรรม) ไล่ไปจนถึงเป็นเถ้าแก่สู่ขอ ส่วนพ่อก็เป็นผู้ช่วยที่ดีคือแม่สั่งอะไรก็ทำอย่างคนใจดี : ) จนเดี๋ยวนี้คนรู้จักจะจัดงานแต่งงานก็แวะมาปรึกษาแม่กับพ่อ เป็นอันว่าได้ครบวงจร ตั้งแต่เถ้าแก่ คนจัดขันหมาก ผู้ใหญ่ปูที่นอน พิธีกร แลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดพี่ปฏิเสธงานพิธีกรอย่างเด็ดขาดเพราะได้พิ'ณาเห็นแล้วว่าการพูดในสิ่งที่เราไม่มี ประสบการณ์ตรง นั้น สร้างความอัตคัตขัดสนอับจนถ้อยคำแก่เราเป็นอันมาก ให้พี่เทศน์เด็กสามวันสามคืนไม่ซ้ำกันยังเวิร์กกว่า... : )
สิ่งหนึ่งที่พี่ได้เรียนรู้จากการแต่งงาน (หมายถึงหลังจากเสร็จสิ้นงานแต่งงานไปแล้ว) คือการได้เห็นสัจธรรมของการอยู่ร่วมกัน ว่าต้องประกอบไปด้วยความอดทนและความเข้าใจกันอย่างสุดซึ้งทีเดียว พี่เองก็ไม่ใคร่แน่ใจว่าตนเองจะมีตบะเดชะพอที่จะปฏิบัติธรรมขั้นสูงเช่นนี้ได้หรือไม่ แต่หากผู้ใดปฏิบัติได้ ก็เป็นกุศลอันยิ่ง
และพี่ได้เห็นว่าความรักนั้นเป็นสิ่งดีแท้ เพราะทำให้จิตใจของเราชุ่มชื่นดี แต่หากว่ามีความรักที่ไม่สมดุลแล้ว ก็จะทำให้ใจเป็นทุกข์นัก พี่เคยเป็นทุกข์ด้วยรักมาบ้างพอเป็นประสบการณ์ชีวิต จึงเรียนรู้ที่จะรู้จักความทุกข์ และก็ทำให้รู้ว่า "ใจ"มนุษย์นั้น "ฝึก" ได้ หากเรารู้เท่าทันใจตัวเอง เราก็จะอยู่เหนือทุกข์อันเกิดแต่ความรักได้ การรักด้วยใจที่เป็นกลางๆคือรักแบบพลอยยินดีที่เขาสุข และกุลีกุจอช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจเมื่อเขาทุกข์ โดยไม่เริ่มและจบด้วยการคิดผูกมัดยึดครอง ก็จะทำให้จิตนิ่งๆเย็นๆและสบายใจดี พี่ชอบความสุขที่นิ่งๆเย็นๆแบบนี้ พี่เคยคุยกับเพื่อนในเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ พอพี่พูดจบ เพื่อนก็สรุปว่าคนแก่ก็เป็นแบบนี้แหละ คือเธอไวมาก พูดไม่ทันจบเธอก็เผ่นแผล็วไปในระยะที่เชี่ยนหมากของพี่ปลิวไปไม่ถึง
แต่ไม่เป็นไรนะคะคุณหมอเล็ก วันพระไม่ได้มีหนเดียว หลังจากที่เทศนาเอ๊ยพูดเสร็จแล้วพี่ก็ไปนั่งเลี้ยงหลานอย่างมีความสุข บางครั้งความสุขอาจไม่ได้เกิดจากการที่เราจะต้องเป็นนางเอกหรือพระเอกเสียเองเสมอไป และหากเราดูหนังดูละครให้ดีๆแล้วไซร้ เราก็คงเห็นในหลายๆครั้งว่าชีวิตตัวประกอบดูจะมีเรื่องวุ่นวายน้อยกว่ากว่าพระเอกนางเอกอยู่เนืองๆ
เพื่อนพี่ยังอุตส่าห์โผล่มาบอกว่าบอกว่าอย่างนี้เขาเรียกว่าคิดแบบ sour grape แต่พี่คร้านจะเถียงกับเธอ เพราะต่างคนก็ต่างใจ ความสุขของใครก็เป็นไปตามแบบของคนนั้น จะมาบังคับให้สุขเหมือนกันนั้นหาได้ไม่ ขึ้นอยู่แต่ใจใครจะเห็น ว่าเป็นทุกข์ในสุข หรือสุขในทุกข์ ว่าแล้วก็นึกถึงเพื่อนคนเดิมนี้ที่จู่ๆก็เคยถามขึ้นมาว่า เมื่อปลาทูกับปลากะพงอยู่ในกระทะ มันจะร้องเพลงอะไรรู้ไหมจ๊ะ
แล้วเธอก็ฉะ-เหลยเป็นเพลงเสียงลั่นๆว่า
"..สุกกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม..." : ) : )
พี่ถึงแก่ตา สะ-หว่าง เห็นสัจธรรมขึ้นมาทันทีเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ อิอิอิอิ
เมื่อ พ. 28 ม.ค. 2552 @ 05:26
1097610 [ลบ] [แจ้งลบ]
สวัสดีค่ะคุณหมอเล็กภูสุภา
วิธีการนำเสนอความรักของผู้เป็นพ่อแม่นี้...อาจต้องมีโรงเรียนสอนทีเดียว
"อาจต้องมีโรงเรียนสอน" แปลว่า อาจต้องมีผู้ถ่ายทอด (หรือหน่วยที่รับผิดชอบถ่ายทอด)
ความรู้ชุดการสื่อสารในครอบครัว อย่างเป็นระบบครบกระบวน ถี่ถ้วนทุกมิติการสื่อสารของมนุษย์ ทั้งการสื่อสารภายในใจตนเองและการสื่อสารกับบุคคลอื่นในครอบครัว
คงพอเรียกว่า "เรียนรู้ Family Communication เพื่อนำไปสู่ Effective Family Communication" ได้กระมังคะ
ประสบการณ์เรื่องการสื่อสารในครอบครัวนี้น่าเรียนรู้และน่าศึกษามากเลยค่ะ ทุกคนมีประสบการณ์นี้ เพียงแต่จะนำมาคิดวิเคราะห์เพื่อปรับแก้ให้ดีขึ้นหรือไม่เท่านั้น
หากโชคดีพอ คนในครอบครัวคิดวิเคราะห์ร่วมกันด้วยความเข้าใจ และปรับวิธีสื่อสารเสียใหม่ให้เป็นการสื่อสารที่น่ารัก และนำเสนอความรักได้อย่างถูกวิธีเหมาะแก่วิถีของครอบครัวนั้นๆ เราจะได้หน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม ที่มีความมั่นคงทางจิตใจเพิ่มขึ้นมาอีกหลายหน่วย และหน่วยเล็กๆเหล่านั้นก็จะเป็นรากฐานของความเข้มแข็งมั่นคงของสังคมต่อไป เราจะได้สังคมสุขภาวะเป็นของขวัญ ได้พ่อแม่ลูกที่น่ารักเป็นรางวัล คิดแล้วอยากไปแต่งงานจริงๆ อิๆๆๆ
เวลาจะฝึกให้นักศึกษาทำงานอะไรสักอย่างแล้วเธอไม่ได้ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ พี่แอมป์ชอบล้อเด็กๆด้วยประโยคนี้มากเลยค่ะ
"..ครูไปแต่งงานดีกว่า..."
แล้วเด็กก็จะฮากันครืน เพราะหน้าตาพี่ดูตั้งอกตั้งใจมาก ว่าพี่หมายฟามเช่นนั้นจริงๆ
พี่ตั้งใจสื่อความหมายว่า "ถ้าเราเสียเวลาชีวิตเพื่อทำสิ่งนี้ แล้วมิได้คุณค่าอย่างที่ตั้งใจ ทำแล้วสูญเปล่า เราจะไปเสียเวลาทำไม เราไปทำอะไรของเราเอง ให้เราได้รับเอาคุณค่าจากสิ่งที่เราทำอย่างเต็มที่... มิดีกว่าหรือ?"
แล้วพี่ก็ตัดบททันควันว่า "อย่าตอบครู จงตอบตัวเอง... และขอให้โชคดี เพราะคำตอบแท้ๆจากใจคุณวันนี้ ...จะกำหนดชะตาชีวิตของคุณเอง..และครอบครัว..ในวันหน้า
...ถ้า คุณ มี ! ..."
แปลอีกทีว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์สิ่งหนึ่งคือการมีครอบครัวที่ดี อยู่ในครอบครัวนั้นแล้วอบอุ่นมีความสุข พี่ถามเด็กๆว่าหากคุณได้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แลกกับการสูญเสียครอบครัวที่ดีของเราไป อย่างไม่มีวันเอากลับคืนมาได้ คุณจะยอมไหม?
นึกแล้วกลุ้มใจวิธีสอนของตัวเองเหมือนกันจ๊ะ เพราะพี่คิดเอาเอง(ด้วยสามัญสำนึกบ้านๆ)ว่าอะไรน่าจะเป็นปัญหาในชีวิตบ้าง แล้วพี่ก็ยกปัญหาขึ้นมาคุยกับเด็กๆเพื่อวิเคราะห์พินิจพิจารณาร่วมกัน จากนั้นก็ร่วมหาทางออกแบบทะลุ่มทะลุยตามใจฉัน แล้วก็ปล่อยให้เด็กๆไปคิดเอง ไม่เคยมีคำตอบสำเร็จรูปให้เขาสักที เด็กๆที่เรียนกับพี่จึงประเมินผลการสอนอย่างมั่นใจว่า "...จารย์สอนอะไรก็ไม่รู้..ไม่รู้เรื่อง"..ต่อเนื่องกันมาจนทุกวันนี้ (และพี่ก็ทำใจได้แล้วนะจ๊ะ) : )
สุดท้ายนี้ พี่ก็ได้มองเห็นอีกครั้งว่า ความรักของพ่อกับแม่ทำให้ลูกมีหัวใจที่อ่อนโยน ..หากนำเสนออย่างถูกวิธี จากบันทึกถึงลูกภูของคุณหมอเล็ก ที่อ่านแล้วก็รู้สึก "อิ่ม" อย่างยิ่งเช่นกัน
และทำให้พี่รู้สึกว่า Family Communication ที่ดี เริ่มต้นจาก "ความรักและความตั้งใจที่จะเข้าใจกันโดยแท้จริง" เป็นพื้นฐานสำคัญ
ขอบคุณจริงๆที่หมอเล็กแวะมาร่วมสนทนาเติมเต็ม
สามารถอ้างอิงเรื่อง "ครอบครัวศึกษาฯ" ให้เห็นหลักฐานจริงเชิงประจักษ์(แก่ตา)ได้ ในบันทึกของคุณหมอเล็กนะคะ : ) : )
------* ------ *------ *------- *-------- *------- *--------* ------- *-------
**ต้องขอขอบคุณพี่แอมป์เช่นกันค่ะ ที่เข้าใจวัตถุประสงค์ของน้องที่มีบันทึกถึงลูก
และ ขอยืนยันค่ะ ว่าสังคมหน่วยเล็กสุด ครอบครัว ถ้ามีสุข เข้าใจกันและกัน..
บางครั้งเราเป็นครู บางครั้งเขา(ลูก) ก็เป็นเพื่อน(สนิท) เป็นติวเตอร์ เป็นผู้ชี้แนะ เป็นผู้ปลอบโยนใจเรา
ก็มีค่ะ
ขอขอบคุณ อาจารย์สุขุมาล จันทวี (ดอกไม้ทะเล)อีกครั้งค่ะ