ลองทุกข์ ลองดู...


หนีไม่พ้น เพราะกายใจนี้เองมั้ง ที่เป็นทุกข์ ในตัวมันเอง จริงๆเล้ย

แต่เราจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ไง ? ต้องทดลอง

แต่เราจะ ใช้ทุกข์นี้ให้เกิดประโยชน์ เป็นปุ๋ย สำหรับการภาวนา ได้อย่างไร? ต้องเป็นคำถามที่เราใข้ถามตัวเอง

(ที่มาจากบันทึก  ต้องตามดูทุกข์ไปเรื่อย ๆ มั๊ง...! )

วิวาทะ...

นสิ พ้นได้ กล้าหนีหรือเปล่า...? "ทุกข์นะ!

กล้าสู้ กล้าทุกข์ กล้าไร้สุขหรือเปล่า...? หมดรส หมดชาดนะ!

ายคนปฏิบัติธรรมไปก็กลัวไปว่าบรรลุธรรมแล้วชีวิตจะไม่หอม ไม่หวาน ถ้าอยากจะหนีทุกข์ก็ต้องกล้าที่จะหมดรส หมดชาด...!

คนเรากลัวหมดรส หมดชาดทางโลก แต่ก็ยังไม่รู้จักรส จากชาดทางธรรม

กลัวไม่หอม ไม่หวาน แต่ไม่กลัวความยุ่งเหยิง

คนเราคิดว่ารสชาดแห่ง ตัณหา ราคะ และกามรมณ์นั้นดี วิเศษ กลัวว่าบรรลุธรรมแล้วจะไร้สัมผัสแห่งการเสพนั้นก็เลยไม่กล้าที่จะปฏิบัติลงไปมาก

ความสุขทางกายหรือจะสู้ความสุขทางใจ เพราะความสุขอื่นใดจะเหนือกว่า "ความสงบ" นั้นไม่มี...


ปุจฉา...?

แต่เราจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ไง ? ต้องทดลอง

วิสัชนา...

ถูกต้อง ๆ

ต้องลองดูกันสักตั้ง คนเราไม่ทุกข์จะรู้จักทุกข์ได้อย่างไร

จะรู้ทุกข์ด้วยการอ่านหนังสือเหรอ เอางั้นเหรอ ไม่ไหวมั๊ง

ตอนทุกข์แบบสุด ๆ นี้แหละเป็นโอกาสอันวิเศษ

ทุกข์จนให้ปากร้องออกมาว่า "อ๋อ" นี่คือ "ความทุกข์" ความทุกข์มันเป็นอย่างนี้ เวลาทุกข์มันดิ้น มันทุรน ทุรายอย่างนี้

ถ้าหากรู้แล้วยัง "โง่" ไม่เข็ด รู้ทุกข์แล้วก็ยังกระโดดลงไปทุกข์อีก ก็ "ช่างหัวมัน"

ทุกข์คราวก่อนก็ปางตาย พอหายได้ก็กระโดดลงไปหาทุกข์อีกอย่างนี้ต้องพูดว่า "สมน้ำหน้า..."

คนเรากับความทุกข์ก็เป็นอย่างนี้ ว่าจะฉลาดก็โง่ไปมาก ทุกซ้ำซาก ทุกแล้ว ทุกอีก...

เกิดมานี่ก็โง่พอแล้วเวลาทุกข์ก็ยังมาทำหน้าโง่ ๆ อีก

ต้องด่าตัวเองให้มาก

ถ้าทุกข์แล้วยังโง่กลับไปอีกเรื่องเดิมก็ด่ามันเข้าไป ด่าจิต ด่าใจของตัวเองนี่แหละ

เวลาที่วัว ที่ควายเดินเหยียบหนามเขาก็ยังจำไม่เดินไปเหยียบซ้ำอีก

แต่มนุษย์ที่สำคัญตนว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" พอเจ็บแล้ว ทุกข์แล้ว ก็ยัง "โง่" กลับไปทุกข์อีก ทุกข์เรื่องเดิมนี่แหละ

เรื่องรัก เรื่องใคร่ เรื่องสมบัติ

มีแต่เรื่องกิเลส เรื่องตัณหา เรื่องกามนั้น ๆ

พอทุกข์อยู่ก็บอกแล้วเข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว

แต่พอหาย พอเบาได้หน่อย นั่น ไปอีกแล้ว ไปกับเขาอีกแล้ว เฮ้อ! มนุษย์...


ปุจฉา...?

แต่เราจะ ใช้ทุกข์นี้ให้เกิดประโยชน์ เป็นปุ๋ย สำหรับการภาวนา ได้อย่างไร?

วิสัชนา...

มีทุกข์ก็เหมือนมี "ขี้" อยู่หน้าบ้าน

ขี้นั้นทั้งเหม็น ทั้งสกปรก น่ารังเกลียด

มันน่ารังเกลียดเพราะมันอยู่บนถนน อยู่หน้าบ้าน อยู่ในสังคม

แต่ลองเอาขี้มาไว้ใต้ต้นไม้ ลองเอาขี้มาไว้ในดินสิ โอ้โห ต้นไม้ชอบ ของโปรดเลย

ทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น

หากมีทุกข์ ก็เปรียบเสมือนมีขี้อยู่กองหนึ่ง

ให้ลองพิจารณาขี้กองนี้แหละ ดูซิมันเหม็นไหม น่ารังเกลียดไหม ถ้ายังไม่รู้ต้องลองดม แต่ถ้าไม่ถึงใจก็ให้ลองกินดู คราวนี้ก็จะรู้ว่าหมู่หรือจ่า

เมื่อทุกข์เราไม่ต้องทำอะไรมากนอกเสียจาก "ดูความทุกข์"

ดูซิว่า ทุกข์แล้วเราสั่งให้ร่างกายและจิตใจของเราหายทุกข์ได้ไหม

ลองเอานาฬิกามาตั้งจับเวลาไว้เลย บอกกับมันว่า

เฮ้ย... ข้าให้เวลาเอ็งสองชั่วโมงนะ ครบสองชั่วโมงแล้วให้หายทุกข์ ดูซิว่ามันเชื่อเราไหม

ไหนว่าเรารัก เราหวงเขานักหนา

ใจนี้ก็ของเรา กายนี้ก็ของเรา ความทุกข์นี้ก็ของเรา ถ้าเป็นของเราจริงบอกให้มันหายทุกข์ ให้มันเลิกทุกข์ มันหายมั๊ย

มันไม่หาย ทำไมมันไม่หาย ก็เพราะเรายังมีตัว มีตน

ยังคิดว่านั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา ทุกข์นี่ก็ของเรา...

เมื่อทุกข์ก็ "ไม่อยาก" ทุกข์

เมื่อทุกข์ก็ "อยาก" หนีทุกข์

ชีวิตที่ตัวแต่อยากโน่น ไม่อยากนี่ก็ต้องทุกข์ร่ำไป

ทุกข์มาก ๆ ทุกข์ไปเรื่อย ๆ ทุกข์แล้วสมุหทัย ย่อมถึงไซร้นิโรคและมรรค...

ตอนนี้เริ่มก้าวแรกก็กระโดดลงทุกข์ก่อน ยอมรับทุกข์ก่อน ก้าวที่สอง สาม สี่ ย่อมตามมา

ลองทุกข์ดูนะ ลองดู...

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 281669เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2009 23:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

นั่นสิ รสชาติ แห่งสุขแบบโลก ทำให้เรา ยอม โง่แล้ว โง่อีก ติดใจ

ทำไมนะ

ทั้งที่ก็รู้บ้าง หรือรู้ดี ว่ามีพิษแอบแฝง

ติดความทุกข์ ที่แฝงตัวมาในคราบแห่งสุขทุกรูปแบบ

---------------------

หากหนีไม่ได้ สุดวิสัย เพราะเรายังต้องเวียนวน ในโลกนี้

จะทำได้ดีที่สุดก็อย่างดีเข้าหาสิ่งต่างๆ อย่างมีสติรู้ตัว อย่างรู้คุณรู้โทษของมัน อย่ารู้เท่าทัน ไม่หลง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท