หากไทยจะพัง ก็พังได้ด้วยมือไทยนี่ละ
หากไทยจะตั้ง ก็ตั้งได้ด้วยมือไทยอีกนั่นละ

เมื่อก่อนเราเคยเกี่ยวข้าวทีละรวง ดำนาทีละกอ(ขุม) ถอนต้นกล้าทีละต้นสองต้น
กว่าจะเปลี่ยนจากเมล็ดเป็นเมล็ด ใช้เวลาสามสี่เดือน นี่คือชีวิตเกษตรกร
………..
แต่มาบัดนี้…
เกี่ยวข้าวทีละรวงไม่ทันกิน ดำนาทีละกอไม่พอแล้ว กล้าไม่ต้องถอน เปลี่ยนเมล็ดข้าวเป็นเงิน
ได้เงินเอาไปซื้อข้าวสาร ด้วยเพียงแค่เราไม่อยากจะตากข้าวมันช้าเสียเวลาเลยรวบรัดให้มันง่ายและรวดเร็วทันใจ
………….
พอนึกย้อนถึงชีวิตในการเก็บข้าวทีละรวง มาเป็นเคียวเกี่ยวรวง แล้วมาเป็นรถคันใหญ่เกี่ยวโคนต้น พบว่าวิถีการดำเนินชีวิต วิธีคิดของเราเปลี่ยนไปมาก ที่ยากจะกู้กลับ
ส่งผลถึงการขายนาให้นายทุนต่างประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะตะวันออกกลางหรือทางจีน
แล้วชีวิตเกษตรกร ก็เปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมกร ทำงานในทีนาตัวเองในฐานะลูกจ้างทำนาเพื่อได้เงินมาซื้อข้าวปลาจากนาตัวเอง…..

ประเทศจะอยู่ได้ก็อยู่ที่ระบบคิดของคนในชาตินั้นๆ เกราะภูมิคุ้มกันที่ดีพอ
ทำเกษตรที่อยู่บนพื้นฐานของความต้องการของคนในชาติเป็นที่ตั้ง มิใช่เพียงแค่แฟชั่นตามความต้องการของนอกประเทศ ไม่งั้นเราจะไม่เหลือรากเหง้าที่แท้จริงของเราเลย
คิดเก่าทำเก่าแต่ได้ผลดีกว่า อาจจะดีกว่าคิดใหม่ทำใหม่แต่ไม่เหลืออะไรให้ลูกหลานเลย

รู้สึกตัวเมื่อสาย ดีกว่าสายแล้วยังไม่รู้สึกตัว
การศึกษาที่มุ่งแค่ธุรกิจเงินทอง คงไม่เพียงพอที่จะพัฒนาสมองของชาติได้ เพราะเป้าหมายอยู่คนละยอดเขา

อะตะละวะบ่น….