คนที่ทุกข์แล้วนำธรรมะมาเป็น "ครู" เป็น "อาจารย์" เป็น "แนวทาง" ในการแก้ไขนั้นจำได้ "ปุ๋ย" ชั้นดีที่จะเป็น "พลัง" ในการดำเนินชีวิตอันน้อยนี้นั้น
คนที่ทุกข์แล้วนำ "อธรรม" มาเป็น "ครู" เป็น "อาจารย์" เป็น "แนวทาง" ในการแก้ไข จะได้ "ปุ๋ย" ชั้นเลวที่มีแต่กลิ่นเหม็น มีแต่สารพิษ นำไปใส่ต้นไม้ ต้นไม้ก็ "ตาย" นำมาใช้กับชีวิตก็ต้องทุกข์ และ "ทุกข์ไปจนตาย..."
คนมีทุกข์มาก ๆ แสดงว่าเป็นคนที่มี "ครู" มาก
ครูใดเล่าจะประเสริฐเท่า "ครูทุกข์ (Suffering teacher)"
ครูทั่วไปสอนหนังสือ สอนวิชาการ สอนกิเลส สอนตัณหา
แต่ "ครูแห่งทุกข์" นั้นหนาสอน "สัจธรรม"
สัจธรรมคือ "ความจริง (Facts)" ที่ใครต่อใครก็ปฏิเสธและหนีไม่ได้
ทุกข์นั้นก็คือ "กรรม" เป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่ "สั่งสม (To accumlate)"
คนสะสมทุกข์ คือ คนที่มี "ขุมทรัพย์" ที่ประเสริฐ
ขุมทรัพย์ที่สามารถเก็บมากิน เก็บมาคิด เก็บมาพิจารณา
คนเราที่เกิดมาหลายต่อหลายคน สามารถพลิกจิต คิดได้ และกลายเป็น "พระอริยเจ้า" ได้ก็เพราะ "ความทุกข์..."
ขอจงนำความทุกข์ทั้งหลาย นำมาคิด นำมาพิจารณา
การสอนตนเองด้วยทุกข์จะไม่ทำให้ตนเองเป็นคนกิเลสหนา ปัญญาหยาบ...
คนรู้ทุกข์ย่อมเป็นคนที่ไม่ประมาทใน "ความสุข"
เพราะความสุขก็คือ "ความทุกข์อย่างละเอียด"
คนติดสุขนี่แก้ยากกว่าคนติดทุกข์เสียอีก
คนจนก็มีทุกข์แบบคนจน คนจนพอมีรายได้ขึ้นมามากขึ้นก็แค่เปลี่ยนจากความทุกข์แบบคนจนเป็นความทุกข์แบบ "คนรวย"
เด็กนักเรียน ก็มีทุกข์แบบเด็กนักเรียนที่ต้องทนทุกข์ ทุก ทุก เวลาที่เรียนเพื่อที่จะไปทุกข์แบบคนทำงาน...
เอ้า "ทุกข์เข้าไป" ทุกข์เข้าไป ทุกข์ไว้ ทุกข์ไว้เพื่อรู้ทุกข์ และวันหนึ่งเราจะ "ปล่อยวาง" ความทุกข์นั้นเสียได้...