ดวงใจเศร้าอันแท้จริง..


โรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่  ได้จัดให้มีการอบรมสุนทรียสนทนาขึ้น  โดยเชิญวิทยากรมาจากสถาบันขวัญแผ่นดิน   เบื้องหลังการอบรมนี้ประสบเรื่องยุ่งยากลำบากใจอยู่หลายประการ หนึ่งในนั้นก็คือ  การติดตามรายชื่อของคนที่จะเข้ารับการอบรม    โดยผู้ทำโครงการ มีจุดมุ่งหมายว่า  ทุกกลุ่มงาน  ต้องส่งคนของตนเข้าไปอบรม กลุ่มงานละสองคน   แต่ปรากฏว่า บางกลุ่มงานไม่ยอมส่งคนเข้า่ร่วมเลย   อ้างว่าคนไม่พอ  ต้องทำงาน ??

เรื่องนี้ทำเอาแกนนำกลุ่มสังฆะมีอาการจิตตกไปพอประมาณ    สาเหตุหนึ่งก็คือ ผู้คนบางส่วนในองค์กร เข้าใจว่า การอบรมสุนทรียสนทนา  คือ  การไปปฎิบัติธรรมเสียงั้น  อาจเป็นเพราะผู้ทำโครงการ ผู้ประสานงานจัดการทั้งหลาย เป็นกลุ่มคนปฎิบัติธรรม  เรียกว่าใบหน้ากลายเป็นโลโก้ ในทางนี้    ทว่าคนหมู่หนึ่งในองค์กรของเรา เกลียดและกลัวการปฎิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง  ข้าพเจ้าเพิ่งรับรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่า   ผู้คนกลุ่มหนึ่งที่นี่   มองว่าเราเป็นกลุ่มเพี้ยนๆ  และทำให้โรงพยาบาลสิ้นเปลืองงบประมาณไปกับการทำโครงการเหล่านี้   เริ่มตั้งแต่การส่งเจ้าหน้าที่ไปปฎิบัติธรรมที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่   เชื้อเชิญครูตั้มมานำภาวนา   นิมนต์หลวงพี่พิทยามาสอนและนำภาวนาตามแนวทางปฎิบัติธรรมแบบหมู่บ้านพลัม   ทั้งหมดนี้พวกเขามองว่า  โรงพยาบาลไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร และไม่มีดัชนีชี้วัดที่ชัดเจนว่า โครงการนี้ให้ประโยชน์อะไรกับโรงพยาบาล

หัวหน้างานท่านหนึ่ง  สั่งลูกน้องไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้  โดยกล่าวว่าเป็นสิ่งไร้สาระ และพวกสังฆะก็เป็นพวกเพี้ยนๆ   พอมาสุนทรียสนทนา  เธอก็ไม่ส่งคนเข้าร่วมเช่นกัน  ทั้งนี้อาจจะเข้าใจผิดว่า  นี่เป็นโครงการปฎิบัติธรรมอะไรสักอย่างที่พวกเราจัดทำขึ้นมาอีก

  แต่เท่าที่ทราบ  โครงการอบรมสุนทรียสนทนานี้ มีท่านผู้อำนวยการเป็นผู้เห็นดีเห็นชอบด้วยค่อนข้างมาก  รวมทั้งโครงการปฎิบัติธรรมต่างๆ นั่นด้วย   แถมข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นว่าในห้องทำงานของท่าน  มีรูปของท่านพุทธทาสตั้งอยู่บนหิ้งพระในลักษณะเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูง  ข้าพเจ้าว่าท่านผู้อำนวยการ  มองเห็นความสำคัญในการปฎิบัติสมาธิภาวนา   และส่งเสริมให้คนทำงานในองค์กร นำธรรมะมาใช้ในการทำงาน  ...

กลุ่มคนที่เข้า่ร่วมการอบรมสุนทรียสนทนาครั้งนี้  เกินครึ่งเป็นคนที่ปฎิบัติธรรม อีกส่วนหนึ่งนั้น ไปตามหน้าที่ ไปเพราะต้องไป  บางส่วนก็ไปเพราะอยากรู้   และเข้าใจว่าบางคนไปอย่างเสียไม่ได้  ส่วนข้าพเจ้าอยู่ในกลุ่มที่อยากไป แต่ไม่สามารถไปได้    มันออกจะยากลำบากอยู่สำหรับองค์กรที่มีหมอไม่มากนัก การไปอบรมหลายคนพร้อมกัน  งานการทั้งหลายอาจดำเนินไปไม่ได้  จึงจำเป็นต้องมีคนอยู่เวรดูแลคนเจ็บไข้ได้ป่วย

ก่อนหน้านั้น  ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า ผลการอบรมจะออกมาเช่นใด   ทว่าเมื่อวันสุดท้ายมาถึง กัลยาณมิตรที่ไปก็ส่งเสียงตามสายมาว่า คนที่ไปประทับใจมากๆ  ต่างร้องห่มร้องไห้ในวันสุดท้าย และกอดปลอบใจซึ่งกันและกัน  กอดให้กำลังใจกันและกัน   หลายคนบอกว่า  ถ้าจัดอบรมเช่นนี้อีก ก็จะไปอีก  และบางคนกล่าวว่า  เพิ่งจะรู้ว่าชีวิตคนเรา มีอะไรอีกมากมาย  มากกว่าการทำงานไปวันๆ   ข้าพเจ้าเลยถามแซวๆ ว่า   สรุปแล้ว  ทุกคนรู้จักกันมากขึ้นใช่หรือไม่จากการไปอบรมครั้งนี้  ?? กัลยาณมิตรท่านนี้ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น

มันออกจะน่าแปลกใจอยู่  ที่คนทำงานในที่ทำงานเดียวกันมาเป็นหลายๆปี  แต่ไม่เคยรู้จักเพื่อนร่วมงานอย่างจริงๆจังๆเลย   การไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ไม่พูดคุยกัน (ยกเว้นเรื่องในงาน ) ทำให้ทั้งสองฝ่าย กลายเป็นคนแปลกหน้า ความเมตตาและเห็นใจกันจึงเกิดได้ยากอยู่

กัลยาณมิตรทางธรรม  ที่คุ้นเคยกันเล่าว่า  จากการอบรม  ท่านอาจารย์สอนว่า เราต้องสร้างความคุ้นเคยกันก่อน ถึงจะพูดคุยกันรู้เรื่อง  ใจต้องเปิดก่อน อะไรทำนองนั้น     อันนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยจริงๆ   บางครั้งคนเราก็ไม่ค่อยมีเมตตากับคนแปลกหน้า เท่ากับคนคุ้นเคย    แต่ถ้าคนแปลกหน้ากลายเป็นคนที่คุ้นเคยกัน การพูดการจาขอความช่วยเหลือเกื้อกูลกันจะง่ายขึ้น    กลายเป็นว่าในชีวิตทางโลกแล้ว  เราจะเมตตาต่อเขาได้มากขึ้น  เมื่อเราได้รู้จักคุ้นเคยกับเขาอย่างแท้จริง 

ดังนั้น ในการงาน ในการสื่อสาร ในการปรึกษาแก้ไขปัญหาใดๆ ในองค์กร  เราจึงควรตั้งใจฟังเรื่องราวของเขาก่อน  และต้องฟังอย่างไม่ตัดสิน  ฟังอย่างใจเป็นกลาง  แล้วเราจะเข้าใจเขามากขึ้น และเห็นใจเขามากขึ้นกว่าเดิม 

ข้าพเจ้านึกถึงหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย ขึ้นมาได้  ตอนที่เจ้าชายน้อยได้พบกับสุนัขจิ้งจอกนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคนแปลกหน้า  สุนัขจื้งจอกนั้นไม่เคยไว้ใจมนุษย์  ทั้งสองต้องสร้างสัมพันธ์สร้างความคุ้นเคยกันในระยะเวลาหนึ่งก่อน  จนในที่สุดกลายเป็นความผูกพันธ์และมิตรภาพที่แน่นแฟ้น   และเมื่อถึงวันที่เจ้าชายน้อยต้องจากไป  สุนัขจิ้งจอกก็ถึงกับร้องไห้ ... หนังสือเรื่องนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าหลายอย่าง โดยเฉพาะคำกล่าวที่ว่า " สิ่งสำคัญนั้น ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา "

เมื่อข้าพเจ้าได้รับฟังว่า  คนที่เข้าร่วมอบรมสุนทรียสนทนา  หลายคนร้องไห้ออกมา  ข้าพเจ้าก็รับรู้ว่า หัวใจของเขาทั้งหลายได้เปิดออกแล้ว  เมื่อใครก็ตามรู้จักที่จะร้องไห้สงสาร และเห็นใจในความสุข ความทุกข์ของคนอื่น  แสดงว่าหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ของเขาได้เปิดออก  ความเมตตาสงสาร ความรักความเห็นใจผู้อื่นได้ถูกแสดงออกมาในที่สุด

การร้องไห้แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องของคนที่อ่อนแอ แต่เป็นเรื่องของคนที่มีหัวใจจริงแท้และกลับมาเป็นมนุษย์แท้ๆ อีกครั้ง  มนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ  และมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน   จะมีใครสักกี่คนที่ร้องไห้ไปกับความทุกข์ความสุขของคนอื่น  จะมีใครสักกี่คนที่เลิกมองและเลิกสนใจในความทุกข์ของตนเองแล้วไปใส่ใจและเข้าใจในความทุกข์ของคนอื่น เสียบ้าง

 

ข้าพเจ้านึกถึง คำกล่าวในหนังสือ ชัมบาลาขึ้นมาได้  บทที่เขียนถึง  ใจเศร้าที่แท้จริง....

" ถ้าคุณเปิดตาขึ้นแลดูโลก  คุณย่อมรู้สึกเศร้าอย่างลึกซึ้ง  ความเศร้าชนิดนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้ถูกกระทำ  คุณมิได้รู้สึกเศร้าเพราะว่ามีใครมาดูแคลน หรือรู้สึกด้อยค่า   ทว่าประสบการณ์นี้เป็นความเศร้าที่ปราศจากเงื่อนไข  มันเกิดขึ้นเพราะว่าดวงใจของคุณได้เปิดออกอย่างหมดจด ไม่มีหนังหรือเนื้อเยื่อปกปิดมันไว้อีกต่อไป ...

ดวงใจเศร้าที่แท้จริงกำเนิดขึ้นมาจากความรู้สึกที่ว่า  หัวใจที่ว่างเปล่าของคุณนั้นเต็ม คุณอยากจะหลั่งเลือดจากใจ  อยากจะให้หัวใจของคุณแก่คนอื่น  สำหรับนักรบแล้ว  ประสบการณ์แห่งดวงใจอันเศร้าอันแสนอ่อนโยนนี้   คือจุดกำเนิดแห่งความไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด  ตามความหมายสามัญแล้ว  ความไม่หวาดหวั่นหมายความว่า คุณไม่กลัว หรือหมายถึงว่า ถ้ามีใครมาทำร้ายคุณคุณจะตอบโต้กลับอย่างไรดี     เรามิได้กำลังพูดถึงความไม่หวาดหวั่นในระดับของนักสู้ข้างถนน 

ความไม่หวาดหวั่นที่แท้จริง   คือผลอันเกิดจากความอ่อนโยน  มันเิกิดจากการปล่อยให้โลกหยอกล้อจิตใจของคุณเล่น จิตใจที่ดิบและงดงาม   คุณเต็มใจที่จะเปิดมันออกโดยไม่ขัดขืนหรือเขินอาย และเผชิญกับโลก  คุณพร้อมที่จะแบ่งปันหัวใจของคุณกับผู้อื่น   "

คำสำคัญ (Tags): #สุนทรียสนทนา
หมายเลขบันทึก: 285976เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2009 23:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

การที่มีผู้คนมากมายที่ยังไม่สามารถก้าวเดินเข้าไปสู่สภาวะแห่งความงดงามของความเชื่อมโยงระหว่างสรรพสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ได้ ... อาจแสดงออกมาในรูปต่างๆ นั้นไม่ใช่ความผิดหรือความอะไรทั้งสิ้น หากแต่คือเส้นทางที่เรานั้นพึงหันกลับมาฝึกฝนต่อตนในการน้อมนำใจเรานี้ให้อ่อนโยนลงมองเห็นความเป็นไปตามเหตุแห่งที่เกิด...

การเนียนเนื้อแห่งความงดงามของ "ธรรม"ชาตินั้นต้องปราศจากการแยกส่วน แม้ว่าเรามีรูปแบบแห่งสังฆะเกิดขึ้น สังฆะดังกล่าวพึงเนียนเนื้อเข้าไปกับความเป็นธรรมชาติปราศจากความแปลกแยก ... และทุกสรรพสิ่งสามารถเข้าถึงสภาวะแห่งความดงามนี้ได้ โดยไร้เงื่อนไขใดใดทั้งสิ้น...

พึงก้าวเดินต่อไปด้วยหัวใจที่อ่อนโยนน้อมนำไปสู่ความงดงามและเบิกบาน...สักวันความเนียนเนื้อเข้าไปแห่งความเป็นสังฆะจะสามารถสลายความเป็นปัจเจคที่ปรากฏขึ้นได้ ... การน้อมนำผู้คนให้เรียนรู้บทแห่งสุนทรียสนทนาอาจไม่จำเป็นต้องเคลื่อนเข้าไปสู่การอบรมก็ได้ หากแต่เราสามารถใช่ตัวเราที่ปรากฏให้เขาได้เห็น เป็นเครื่องมือได้เรียนรู้ ได้ซึมซับ...สภาวะแห่งการดำเนินชีวิตแห่งความสุนทรียะนี้ด้วยใจที่ปรารถนาดีของเราเอง

 

 

สวัสดีค่ะคุณ Ka-Poom

ที่เห็นและเป็นอยู่ขณะนี้ จากการอยู่แบบธรรมดาๆ และเป็นปกติ  เรากลับถูกแยกส่วนออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว  แถมถูกคัดแยกว่าเป็นกลุ่มคนแปลกๆ ไปเสียงั้น    แต่เราก็ยังดำรงอยู่ค่ะ  อยู่ในความแปลกแยกที่เราไม่คิดว่าเป็นความแปลกแยก   ...  แต่ว่าจะเนียนเนื้อเข้าไปสลายความเป็นปัจเจกได้หรือไม่   คงต้องใช้เวลาดูกันไปสักพัก

ขอบคุณสำหรับข้อชี้แนะดีๆ  ค่ะ    ตอนนี้เข้าใจว่า ผู้เข้ารับการอบรมสุนทรียสนทนา ได้ซึบซับรับรู้อะไรบางอย่างแล้ว  และถ้าเขานำไปใช้และเชื่อมโยงต่อกับคนในหน่วยงานของตน คงจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรในสักวันหนึ่ง

 

ขณะอ่านบทความของพี่ยา ก็แอบร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว...

มันดีใจกับสิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสค่ะ...

หวังว่าสักวัน คนที่เขาที่จิตใจกร้าวแข็งได้รับรู้ถึงความอ่อนโยนในใจของเขาเอง และคนอื่นๆบ้างค่ะ

แต่ก็เห็นด้วยกับคุณ Ka-poom ขอบคุณทั้งสองที่ให้แง่มุมดีๆ

วี

น้องวี

หลายคนที่ไปอบรมมา  เกิดความตื่นรู้อะไรบางอย่างค่ะ รู้สึกดีใจไปกับเขาจริงๆ   ในจำนวนนั้น ดูเหมือนจะเป็นคนที่เราคาดไม่ถึงด้วย หุ หุ 

มีมุมมองใหม่  เมื่อวานได้พูดคุยกับแกนนำสังฆะ  มีผู้บอกเล่ามาว่า  มีอีกส่วนหนึ่งในองค์กร   มองเห็นว่า  สังฆะของ รพ.   เป็นกลุ่มที่เข้าไม่ถึง ??  ฟังดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่า ถูกกีดกันออกไป และไม่รู้จะเข้ามาอย่างไร เพราะดูเหมือนทุกคนในสังฆะก็ฝึกไปมากแล้ว  ตัวเขาก็ยังไปไม่ถึงไหน ยังใหม่ๆอยู่  จึงไม่กล้าที่จะเข้ามาร่วมกิจกรรม  อันนี้แกนนำก็มีอาการเมาหัว  เพราะทุกกิจกรรมที่มีและทำนั้น ก็ออกเสียงตามสาย  มีภาวนาใหญ่ก็ส่งจดหมายเชื้อเชิญไปยังทุกกลุ่มงาน  มีภาวนาทุกวันศุกร์ก็ติดประกาศไว้ที่หน้าลิฟท์  และมีคำกล่าวว่า " ขอเชื้อเชิญผู้สนใจ และกลุ่มสังฆะเข้าร่วมกิจกรรม "  มีหนังสือใหม่ในห้องสมุดธรรมะ ก็ปิดประกาศขอเชื้อเชิญให้มายืม  ไม่นับรวมถึงการชักชวนด้วยปากเมื่อพบเจอ  ที่คุ้นเคยกันก็ถึงขนาดโทรไปชวนว่า ไปภาวนาด้วยกันไหม๊ ?  วันนี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง  ได้โปรดมาภาวนาด้วยกันเต๊อะ  วันศุกร์บ่ายๆ ถ้ามีใครมาเพิ่ม  เราดีใจกันมาก  เราอยากให้มีคนมาร่วมกิจกรรม มาสนใจปฎิบัติสมาธิภาวนากันมากๆ 

ตอนนี้เลยมีคนสองกลุ่มที่มองสังฆะ  กลุ่มหนึ่งมองเห็นว่าการปฎิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนแปลกๆ  ใครที่ภาวนา จะถูกมองในแนวนั้น และคนกลุ่มนี้มักจะมองว่าเป็นกิจกรรมที่เหลวไหลไร้สาระ    ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมองว่า กลุ่มสังฆะ เป็นกลุ่มคนที่เข้าถึงได้ยาก อยู่แต่กับพวกของตนเอง  สงสัยประมาณว่าพวกนี้มีจิตร่วม ไม่ยอมคบหาคนแปลกหน้าแล้ว  ทำให้คนอื่นเข้าถึงได้ยาก จึงรู้สึกอึดอัดขัดข้องใจ    ไม่นับรวมการคิดเห็นไปเองอีกว่า พวกนี้คงก้าวหน้าทางธรรมไปเยอะแล้ว ฉันคงไปปฎิบัติกับเขาไม่ได้  อันนี้ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจกันดี  ที่เขาคิดว่า พวกสังฆะ เป็นกลุ่มคนที่กำลังบรรลุธรรม หุ หุ

คนทั้งสองกลุ่ม มีมุมมองแบบนี้  จากความคิดเห็น จากการตัดสินในระยะไกล  ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เข้ามาสัมผัสรับรู้จริงๆ   พวกเขาเพียงแต่มองและตัดสินบนพื้นฐานของความคิดเห็นของตนเอง   คิดเดาเอาจากสิ่งที่ปรากฏจากการได้ยินได้ฟังมาของตน เอง   และนั่นก็เป็นมุมมองหนึ่งของเขาที่เราก็ไม่คิดจะไปตัดสินว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิด    ทุกความคิดทุกความรู้สึกในเรื่องราวต่างๆ  ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยที่เขารับรู้  และเราก็ไม่อาจจะไปตามแก้ความคิดเห็นนั้นต่างๆนั้นได้  

ปรากฏการณ์นี้ ทำให้เราหลายคนรู้สึกจิตตกไปพักใหญ่   แล้วกลับมาพูดจา ทบทวนกันว่า สิ่งทั้งหลายที่เขาว่ามานั้น  เราเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ  เรามีจุดบกพร่องตรงไหน หรือกระทำการใด ที่ทำให้เขาคิดเห็นเป็นเช่นนั้นหรือไม่ .. เป็นช่วงเวลาที่สังฆะกำลังทบทวนบทบาท การกระทำ และคำพูดของตนเอง  คงเหมือนคุณKa-poom ว่า  เป็นเวลาที่เราต้องหันกลับมาฝึกฝนและมองดูตนเอง  เราไม่มุ่งเน้นไปแก้ความคิดเห็นของเขา หรือไปตำหนิติเนียนเขา  แต่เราจะมองกลับมาที่ตนเอง  แล้วปรับที่เราเอง

ปรากฏการณ์นี้  มีธรรมะ มีมุมมองให้ได้เรียนรู้ว่า .. การดำรงอยู่ของเรา  ของกลุ่ม  ของอะไรก็แล้วแต่ ในสังคม   ไม่ว่าสังคมนั้นจะใหญ่หรือเล็ก  ไม่ว่าสังคมนั้นจะดีหรือไม่ดี เราจะต้องเผชิญกับ ความคิดเห็น การตัดสินของผู้คนทั้งหลาย   ด้วยความคิดเห็นและมุมมองหลายๆ แบบ   มีืทั้งที่สรรเสริญเยินยอ มีทั้งที่นินทาว่าร้าย  มีทั้งความคิดเห็นที่เป็นกลางๆ   แม้ว่าเราจะนั่งอยู่เฉยๆ  หรือจะไปทำสิ่งที่คิดว่าดีมากๆ  หรือจะไปทำสิ่งที่เลวมากๆ   ผู้คนทั้งหลายก็จะมีมุมมองและตัดสิน จากความคิดเห็นจากการปรุงแต่งสาระพัดรูปแบบของเขา

คงเหมือนกับการมองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่วางอยู่ ผู้พบเห็นก็จะมีความคิดเห็นต่อดอกไม้ดอกนี้  สารพัดที่จะคิด  สาระพัดที่จะปรุงแต่ง ตามความจำได้หมายรู้ของตน

คงจำธรรมะของหลวงพี่พิทยาได้  ตอนที่หลวงพี่เขียนรูปวงกลมวงหนึ่งบนกระดาน  หลวงพี่ถามแต่ละคนว่าคืออะไร  บางคนบอกว่าวงกลม  บางคนบอกว่าพระอาทิตย์ บางคนบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้  ด้วยแค่วงกลมวงเดียวผู้คนทั้งหลายก็สามารถคิดเห็นกับมันได้หลายแบบมาก  ถ้าเป็นเรื่องราวของ  " สังฆะทั้งกลุ่ม"   คงจะมีเป็นร้อยๆ เรื่องราวของความคิดเห็น  ทั้งในแง่บวกและแง่ลบนั่นแหละ

พี่เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า  เราทั้งหลายนั้น อยู่ในโลกของความคิดเห็น  อยู่ในโลกของทวินิยม  อยู่ในสังคมที่มีการปรุงแต่งจิตอยู่ตลอดเวลา  เป็นการยากที่ผู้คนทั้งหลายจะไม่ใส่ความคิดเห็นของตนไปในสิ่งต่างๆ   และคอยตัดสินเรื่องราวต่างๆ ตามอำเภอใจของตนเอง  และยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตนอยู่อย่างนั้น  มาถึงตอนนี้ถึงรับรู้ว่า หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์  ที่สอนว่า  เราควรมองทุกสิ่งตามความเป็นจริง นั้นควรมองอย่างไร  ... ปรากฏการณ์ที่เกิดกับสังฆะ ได้แสดงเห็นในความ "เป็นเช่นนั้นเอง" ของโลกด้วย

หลักแห่งความเมตตา และเข้าใจ จะช่วยแก้ไข ปรากฏการณ์นี้ได้  ร่วมกับการหันกลับมามองย้อนดูตน และปรับที่ใจตน  จะช่วยทำให้อะไรๆ ดีขึ้น  

 

ผู้คนในสังฆะ  จึงยังดำรงอยู่ และกระทำอยู่ในลักษณะของความเป็นปรกติและธรรมดา  แม้จะอยู่ในกระแสและมุมมองที่คิดเห็นไปต่างๆนาๆ และมองว่าไม่ธรรมดาก็ตาม      ความจริงใจ ความตั้งใจในการทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อทุกคนในองค์กร และต่อทุกคนที่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  ต่อทุกคนที่มาภาวนาด้วยกัน จะเป็นเครื่องคุ้มกันไม่ให้เราเศร้าหมอง  เราไม่ติดดี ไม่ติดกลุ่ม  เจตจำนงคือการเผยแผ่ และสืบทอดพระธรมคำสอนของพระพุทธองค์  และให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เห็นคุณค่าของการภาวนา และได้เข้าใจว่า พระพุทธศานามีหลักคำสอนที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตแค่ไหน  และวิชาของพระพุทธองค์จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งต้องเข้าสู่วิถีีแห่งการปฎิบัติเท่านั้น  ไม่อาจรู้ได้จากการอ่าน จากการวิเคราะห์ตีความ เพียงประการเดียวได้ .

ดีจ้า...

มันเป็นทั้งคำนำ เนื้อความ วิเคราะห์ การทดลอง และบทสรุปในตัวแล้วจ้ะ...

เป็นกำลังใจให้กลุ่มสังฆะศว.นะจ๊ะ ... ดูดู รู้รู้ ต่อไปจ้า

น้องวี

เขียนเสียยาวยืดนี่ เพราะปรากฏการณ์นี้  น่าสนใจ และน่าเรียนรู้จริงๆ   และอยากเขียนให้กำลังใจแกนนำของสังฆะ  ที่อุตส่าห์เหนื่อยกับการทำนั่นทำนี่มากมาย  แถมทำด้วยใจมากๆ    แต่ก็ยังไม่วายถูกติฉินนินทา  ใครจะคาดคิดว่า  การสร้างกลุ่มภาวนาในโรงพยาบาลนั้น  ก็สามารถถูกนินทาว่าร้ายได้พอๆ กับการตั้งก๊วนเหล้าในโรงพยาบาลนั่นแหละ  

 ปรากฏการณ์นี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ถึง "เรื่องธรรมดาๆ  ของโลก "     และ    "  สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นมีธรรมะมาสอนเสมอ "   

คงอย่างที่วีว่านั่นแหละ   ดู ดู  รู้  รู้ กันต่อไป .. 

 

สวัสดีครับ

สุนทรียสนทนาเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้ผู้คนได้มีวิธีและที่ทาง

ที่จะเอาความทุกมากมายที่ทับถมไว้ออกมา แบบสบายๆครับ

เมื่อครั้งการจัดครั้งแรกที่ปายครับ

เมื่อพูดถึงน้ำตาก็คล้ายกันเลยครับ

 

 http://gotoknow.org/blog/kmsabai/39688

คนที่น่าน้อยใจและจิตตก คงเป็นพี่หมีกับพี่กระทิงทั้งหลายที่ทุ่มสุดตัวสำหรับงานนี้ ส่วนเราไม่ค่อยได้ลงทุนอะไรมากตามประสา Doctor DoLittle ที่ชอบสังกัดองค์การ NATO ( No Action Talk Only ) แต่ยังไงเราก็จะทำต่อไป เพราะเงินไม่ใช่ของเรา ฮ่าฮ่า... พูดเล่นค่ะ เราทำเพราะอยากให้ทุกคนได้สัมผัสกับความสุขเหมือนที่เราเคยได้สัมผัสมาแล้ว

น้อง kmsabai

รพ.ปาย โชคดีค่ะ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับสุนทรียสนทนา มาตั้งแต่เริ่มแรก  ทีนี่ยังถือว่าเป็นการเริ่มต้น  แต่ก็ถือว่าได้เริ่มต้นไปได้ดีพอสมควร แม้จะติดขัดไปบ้าง ตามเหตุและปัจจัย

ในอนาคต  เราอาจจะมีรุ่นที่สอง และสาม บ้างก็ได้   หุ  หุ

 

ชช. 

DoLittle .. หรือไม่ ไม่แน่ใจ  แต่ลืมไปรึเปล่าว่า  ได้กลายเป็นหัวหอกสำคัญ ในการชักนำผู้คนใน รพ. เข้าสู่การทำสมาธิภาวนา    ส่วนพี่อยู่ในกลุ่ม NATO ของจริง  แต่ขอให้กำลังใจในการคิดดี ทำดี  ของพี่หมี พี่กระทิงทั้งหลาย  ด้วยความจริงใจ และซาบซึ้ง ..

ฝากพี่ชช.และสังฆะชาว ศว ครับ

ถ้าจัดอย่าลืมชวนชาวปายด้วยนะครับ  ช่วยกันคนละครึ่งก็ได้ประหยัดงบ..^_^

    http://www.semsikkha.org/semmain/2-activities/1-activities.php

สารเพื่อนเสมครับ

   http://www.semsikkha.org/semmain/4-newsletter/1_newsletter.php

  มีอัตราค่าอบรมครับ

  อาจารย์บอกว่า การเดินทางคิดค่ารถไปก็ได้ครับ แล้วมารับที่ ชม

  พระอาจารย์บอกว่าไม่เคยมาแม่ฮ่องสอนนานแล้ว...  ครับ ^_^

แก้ครับ ...

ค่ารถไฟ ครับ

น้อง kmsabai

มีข่าวดีจะแจ้งว่า  ปีหน้าเราอาจจะมีการอบรมสุนทรียสนทนารุ่นที่ 2    และคาดว่าช่วงต้นปีหน้าจะมีอบรม  End of life care ค่ะ  ถ้าโรงพยาบาลปายหรือโรงพยาบาลอื่นๆ จะมาร่วมด้วยช่วยกันในด้านงบประมาณ คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท