ความอดทนเป็นบารมีอันยวดยิ่ง
การอดทนต่อคำแช่งด่า ยังไม่มีค่าเท่าการอดทนต่อคำสรรเสริญและป้อย่อได้
ครั้งหนึ่งใกล้กับยามที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพาน
พระอานนท์ได้รำพึงกับพระพุทธองค์ว่า เมื่อพระพุทธองค์จากไปเราและชนทั้งหลายจะยึดจะถือใครเป็น "ศาสดา"
พระพุทธองค์ทรงเมตตาตรัสตอบว่า "ขอให้ยึดธรรมะเป็นศาสดาแทนตัวเรา"
เมื่อใดธรรมะยังอยู่ในโลก ครูย่อมไม่ห่างหายไปจากโลก
เมื่อใดธรรมะยังคงอยู่ สันติภาพของโลกก็ย่อมยังคงอยู่ เพราะโลกย่อมรู้ถึงธรรมที่น้อมนำให้คนอดกลั้นและ "อดทน..."
หากวันใดที่ใจคนขาดความอดทน คือ บุคคลผู้นั้น "ขาดธรรม"
ถึงแม้นว่าเราจะนอนอยู่หน้าพระพุทธรูป
ถึงแม้นว่าเขาจะนำพระไตรปิฎกมาหนุนหัว
เราและเขาก็ได้ชื่อว่าอยู่ห่างไกลครูผู้ซึ่งบอกให้รู้ว่า "ครูคือธรรม"
ธรรมะนั้นอยู่ในจิต ธรรมนั้นจักสามารถลิขิต ใจ วาจา และ "การกระทำ"
บุคคลที่มีธรรม คือ บุคคลที่น้อมนำธรรมะเข้าควบคุมกาย วาจา และใจ ให้ห่างไกลจากการเบียดเบียนกันและกันได้
บุคคลที่ไม่เบียดเบียนใคร หรือแม้นกระทั่งเบียดเบียนตนเองนั้นไซร้จึงได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มี "ธรรม..."
ความอดทน อดกลั้น เป็นธรรมอันประเสริฐ อันธรรมที่ให้กำเนิด "ความสงบ" แก่ชนทั้งหลาย
ขอให้ตั้งมั่นต่อการทำดี อดทนในชาตินี้ ดีกว่าจะหวังพึ่งพิงในชาติหน้า
ชีวิตนี้หนอใครจะรู้ซึ่งกาลเวลา อันความตายที่จะคร่าจากโลกนี้ไป...
(วิวาทะจากบันทึก ความรู้สึกของการขาดครู)
เรียน คุณสุญญตา
มาอ่านข้อคิดสอนใจ เตือนสติตนเอง ไม้ให้เตลิดไปไกลกว่านี้
ชอบจะพยามยามทำเช่นที่ว่า
ขอให้ตั้งมั่นต่อการทำดี อดทนในชาตินี้ ดีกว่าจะหวังพึ่งพิงในชาติหน้า
ชีวิตนี้หนอใครจะรู้ซึ่งกาลเวลา อันความตายที่จะคร่าจากโลกนี้ไป...
หลายๆ คนกราบไหว้ขอพรเยอะ แต่ศึกษาพระธรรมกันน้อย เฮ้อออ