เมื่อพ่อแม่ มาร่วมภาวนา


 วันหยุดที่ผ่านมา หนูมีโอกาสได้กลับบ้านเป็นปกติ แต่ด้วยเป็นเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ที่คนออกจากบ้านกันเป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้เกิดการจลาจรติดขัด กว่ารถทัวส์จะเข้ามารับผู้โดยสารในหมอชิตได้ก็ล่าช้าไปกว่าหนึ่งชั่วโมง  และหนูก็จองตั๋วได้ในรอบที่ล่าช้ากว่าทุกครั้ง แต่เมื่อตั้งใจจะกลับบ้านแล้ว ก็ต้องกลับ ทุก ๆ ครั้งที่กลับบ้าน หนูจะออกจากหมอชิตประมาณสองทุ่มกว่า ๆ แล้วจะถึงหน้าบ้านประมาณตีห้ากว่า ๆ สาย ๆ หน่อยก็หกโมงเช้า แม่จะเตรียมของให้หนูไปวัดเสมอ ๆ เพราะวันเสาร์ที่บ้านเป็นตลาดนัดค่ะ จะค่อนข้างขายของดี พ่อจะอยู่ขายของงดไปวัดตอนเช้าหนึ่งวัน ถ้าอาทิตย์นั้นหนูกลับบ้านก็ไปแทนท่านเป็นปกติ

                ระหว่างทางประมาณหกโมงเช้าพ่อโทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าอีกกว่าร้อยกว่ากิโลเมตรกว่าหนูจะถึงบ้าน ประมาณแปดโมงเช้าหนูลงรถแถว ๆหน้าบ้าน หนูไปไหว้แม่ที่ตลาด แล้วถามหาพ่อ แม่บอกว่า “พ่อไปวัด แทนหนู เพราะว่าเตรียมกับข้าวแล้ว” หนูยิ้มดีใจ แม้จะมีความรู้สึกเสียดายที่ไปวัดไม่ทัน แต่ก็รู้สึกดีใจ ในความเมตตาของพ่อและแม่ แล้วแม่ก็บอกหนูอีกว่า “ไม่ทันตอนเช้าก็ไม่เป็นไร ถ้าพ่อกลับมาแล้ว ติ๋วก็เปลี่ยนชุดไปภาวนาที่วัดได้เลย ทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่” หนูซาบซึ้งกับแม่มากค่ะ ท่านรู้ใจลูกเสมอ ๆ และพร้อมที่จะให้ในสิ่งที่ลูกปรารถนา แล้วหนูก็แวะไปหาพี่สาว ช่วยขายของบ้าง ยกของบ้าง ตามกำลังที่พอช่วยได้ เพลีย ๆ ก็เข้าไปงีบในห้องนอนพี่สาว

                บ่าย ๆ พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อเช้าหลวงพี่ลงมาถามว่า “ไหนบอกว่าจะไม่มา มีอะไรรึเปล่า” “น้องมาไม่ทันพ่อเลยได้มาแทน” ถึงได้เข้าใจ หลวงปู่ท่านก็ถาม พอท่านทราบก็หัวเราะชอบใจ พ่อบอกว่า “หลวงปู่เทศน์เมื่อเช้าว่าดี ๆ วันนี้วันศีล” ทำให้หนูนึกขึ้นมาได้ว่า “หลวงปู่จะลงเทศน์และนำภาวนา” จึงชวนพ่อกับแม่ไป พ่อตกลงและบอกว่าจะชวนเพื่อน ๆ ท่านไปด้วย พอหนูเดินไปหาแม่ก็เป็นอันตกลง ตอนแรกหนูว่าจะไปวัดก่อนแล้วก็ระลึกได้ว่า “เห็นแก่ตัวนะ เพราะเอาสบายแต่ตัวเอง ควรจะอยู่ช่วยเคลียร์งานช่วยพ่อแม่ก่อน” หนูจึงอยู่ช่วยงาน แล้วก็รู้สึกว่าการที่หนูได้อยู่ช่วยผ่อนแรงพ่อกับแม่ ทำให้ท่านได้เตรียมตัวได้ลื่นคล่องมากขึ้น

            ประมาณหกโมงกว่า ๆ พ่อ แม่และหนู ขับรถไปรับเพื่อนพ่อและภรรยาของท่าน ขณะรอทำให้หนูระลึกว่าอย่างนี้นี่เอง ถ้าใครคนหนึ่งเจริญขึ้นได้ เพื่อน ๆ หรือคนรอบข้างเขาเหล่านั้นก็พร้อมที่จะเจริญเคียงคู่ไปได้ด้วยกัน เป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ระหว่างทาง หนูรับฟังใจตนเอง รับฟังเรื่องราวที่แต่ละท่านพูดคุยกัน สัมผัสได้ถึงมิตรภาพ ความไว้วางใจ และความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างน่าประทับใจ พอไปถึงวัด หลวงปู่เรียกให้พ่อและเพื่อนของท่านเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ส่วนหนู แม่ และภรรยาของเพื่อนพ่อ แยกมานั่งใน จุดที่ห่างออกมา

หลวงปู่เมตตาสนทนากับแต่ละคนที่มาร่วมภาวนาอย่างเป็นกันเอง และท่านก็เมตตาหนูว่า “ภาวนาดีนะ ไม่ใช่ว่าจะดีกว่าผู้บวชอีกเบาะ ไปเรียนภาวนามาจากไหน” หนูกราบเรียนหลวงปู่ว่า “เรียนมาจากครูที่ท่านเป็นโยมเหมือนกันค่ะ ท่านเป็นคนยโสธร” “โห อยู่ไกลแถะ” หนูยิ้ม ระลึกถึงครู และรู้สึกว่าอย่างนี้นี่เองถ้าหนูภาวนาดี คุณความดีนี้ก็สะท้อนถึงครู อีกนัยหนึ่งเหมือนหลวงปู่เมตตาให้กำลังใจ ให้ดำเนินชีวิตและตั้งใจภาวนาอย่างที่ทำนี้ต่อไป เหมือนท่านมาให้ความมั่นใจว่า “จงตั้งใจเชื่อฟังครูแล้วภาวนาต่อไป”

 

 

แล้วหลวงปู่ก็พาสวดมนต์ทำวัตรเย็น เทศน์สอน พาทำสมาธิภาวนา เรากลับลงมาจากวัดประมาณสี่ทุ่ม แต่ละท่านเล่าถึงการสวดมนต์และภาวนาในวันนี้ เหมือนเป็นการถอดบทเรียนในตนเอง หนูรู้สึกดีและประทับใจมากเลยค่ะ ตอนไปส่งเพื่อนพ่อท่านเอ่ยว่า “ถ้าไปแบบนี้อีก อย่าลืมเรียกด้วยนะ” หนูรู้สึกอิ่มในใจกับโอกาสที่ได้รับในวันนี้ หนูแทบอยากจะรีบโทรไปบอกครูตั้งแต่พ่อกับแม่ตอบตกลงไปร่วมภาวนา แต่ยั้ง ๆตนเองไว้ก่อนเกรงว่าจะเป็นกิเลสที่นำพาให้ใจหนูเกิดการอวดอ้าง หลังจากกลับมาแล้วยังรู้สึกอิ่มในใจค่ะ การที่พ่อกับแม่ไปภาวนาเป็นสิ่งที่หลวงพี่ พี่สาวคนโตและหนูเองปรารถนา

หมายเลขบันทึก: 336620เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2010 05:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท