ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น "สมัยศักดินา"


สมัยศักดินา

ยุคอะซุจิโมโมะยะมะ  

ญี่ปุ่นเข้าสู่ ยุคอะซุจิโมโมะยะมะ หรือ อะซุจิโมะโมะยะมะจิได (Aazuchi momoyama-jidai) ในปี ค.ศ.1573 เป็นยุคสั้นๆ ที่มีผู้สถาปนาคือ โอะดะ โนะบุนะงะ เขามีเจตนารมณ์ที่จะรวมประเทศญี่ปุ่นที่ยังไม่เป็นปึกแผ่นให้อยู่ในผู้นำเพียงคนเดียว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่วัดฮนโนในปี ค.ศ.1582 โนะบุนะงะเสียชีวิต โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ นายพลนายหนึ่งของเขาจึงได้เป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ต่อมา และสามารถรวบรวบประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จในปี ค.ศ.1590

ยุคนี้เป็นยุคที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เซรามิก ภาพวาด เครื่องเงิน อุปกรณ์เกี่ยวกับชา ฯลฯ ซึ่งทำให้นับได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่หรูหราที่สุดยุคหนึ่งของญี่ปุ่น วัฒนธรรมใหม่ๆ จากตะวันตก เช่นการใช้ปืนคาบศิลา การสอนคริสต์ศาสนาก็ได้เจริญรุ่งเรืองในยุคนี้ด้วย แต่ได้ไม่นาน สุขภาพที่ไม่ดี และอำนาจต่างๆ ในตัวฮิเดะโยะชิได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการยกทัพบุกเกาหลีที่ไม่ประสบความสำเร็จ และปัญหารอบตัวที่รอบล้อมตัวเขาอยู่ เจ้าเมือง 5 เมืองจึงตั้งตนเป็นใหญ่และสงครามแย่งชิงอำนาจกันอีกครั้ง การรบสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1600 โดยเจ้าเมือง โทะกุงะวะ อิเอะยะสึ

 

ภาพวาดเหมือนของโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ 

ยุคเอะโดะ

โทะกุงะวะ อิเอะยะสึอิเอะยะสึตั้งตนเป็นผู้ปกครองญี่ปุ่นทั้งประเทศที่มีอำนาจอย่างแท้จริง โดยขึ้นดำรงตำแหน่งโชกุนที่เมืองเอโดะ ล้มล้างอารยธรรมโมโมะยะมะ และสร้างอารยธรรมใหม่ขึ้น ทำให้ยุคอะซุจิโมโมะยะมะจบลงใน ค.ศ.1603 และปีเดียวกันนั้นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ยุคเอะโดะ หรือ เอะโดะจิได (Ado-jidai) ซึ่งเป็นจุดแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โชกุนอิเอะยะสึได้สร้างแบบแผนแทบจะทุกแง่มุมของวิถีชีวิตของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทางการเมืองและสังคมให้เป็นแบบอย่างต่อมาอีก 265 ปี    

  

"ภาพวาดเหมือนของโทะกุงะวะ อิเอะยะสึอิเอะยะสึ" 

การที่โชกุนโทะกุงะวะดำเนินการปิดประเทศจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงในปี ค.ศ.1639 นับเป็นวิธีหนึ่งที่จะรักษาเสถียรภาพของโครงสร้างทางสังคมและการเมืองที่อิเอะยะสึได้ก่อตั้งขึ้น ชาวตะวันตกกลุ่มแรกได้เดินทางมาถึงชายฝั่งญี่ปุ่นในศตวรรษก่อนคือในสมัยมุโรมาจิ พ่อค้าชาวโปรตุเกสขึ้นบกที่เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1543 โดยได้นำอาวุธปืนเข้าในประเทศญี่ปุ่น อีกไม่กี่ปีต่อมาคณะผู้สอนศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกนำโดยนักบุญ ฟรานซิสโก ซาเวียร์ ตลอดจนชาวสเปนอีกหลายกลุ่มได้เดินทางเข้ามาในประเทศญี่ปุ่น กลุ่มพ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ และอังกฤษก็ได้เข้ามาตั้งรกรากในแผ่นดินญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

การหลั่งไหลเข้ามาของชาวยุโรปมีผลกระทบต่อญี่ปุ่นอย่างมาก คณะผู้สอนศาสนาทำให้ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนศาสนากันมาก โดยเฉพาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โชกุนตระหนักดีว่าศาสนาคริสต์อาจจะมีอานุภาพในการทำลายทัดเทียมกับอาวุธปืนที่เข้ามาในญี่ปุ่น ในที่สุดได้มีการสั่งห้ามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น และโชกุนโทะกุงะวะได้ออกคำสั่งห้ามชาวต่างชาติทุกคนเข้าประเทศญี่ปุ่น ยกเว้นกลุ่มพ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ถูกจำกัดบริเวณอยู่ที่เกาะเดะจิมะที่อ่าวนะงะซะกิ ตลอดจนชาวจีนจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นะงะซะกิ และทูตจากราชวงศ์ลีของประเทศเกาหลีที่เดินทางมาญี่ปุ่นเป็นครั้งคราว เป็นเวลา 250 ปีที่ญี่ปุ่นได้ติดต่อกับโลกภายนอกผ่านกลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้น นักวิชาการญี่ปุ่นได้รับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแพทย์ตะวันตกและวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ โดยผ่านทางกลุ่มพ่อค้าที่เมืองเดะจิมะในระหว่างระยะเวลาแห่งการแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวอันยาวนานของประเทศ

ประชากรทั้งหมดแบ่งออกเป็น 4 ระดับ เรียกกันว่า "มิบุงเซ" ประกอบด้วย:

1.นักรบ (บุชิ) หรือ ซามูไร (ประมาณร้อยละ 5 ของประชากรทั้งหมด)

2.ชาวไร่ชาวนา (โนมิง, ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด)

3.ช่างฝีมือ (โชะกุนิง)  

4.พ่อค้า (โชนิง)

สำหรับช่างฝีมือและพ่อค้านั้นบางครั้งจะเรียกรวมกันว่า ชาวเมือง (โจนิง) และอยู่ใต้การปกครองของเหล่านักรบ มีเพียงชาวนาเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในชนบท ที่เหลืออีกสามชนชั้นจะอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งสร้างอยู่รายรอบปราสาทของไดเมียว (daimyo) ในแต่ละท้องถิ่น

ความสงบสุขจากการปิดประเทศเป็นเวลานานทำให้ชนที่อยู่ใต้อำนาจปกครองอย่างเช่นชาวเมืองได้มีโอกาสที่จะประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาไปเป็นทางของตนเอง มีการแสดงคะบุกิเกิดขึ้นตามเมืองใหญ่ต่างๆ ทั่วประเทศ มีการวาดภาพอุกิโยะที่แสดงถึงชีวิตประจำวันของชาวเมืองและชาวนา ซึ่งแตกต่างจากภาพที่ชนชั้นปกครองเขียนอย่างชัดเจน พอมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้เกิดความนิยมในการเรียนวิทยาการใหม่ๆ เช่น แพทยศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ชาวนาเองที่มีหน้าที่ทำนายังต้องมาศึกษาวิทยาการเหล่านี้เพื่อคิดคำนวณผลกำไรที่ตนเองได้ การศึกษาที่เสมือนกับการเรียนพิเศษที่เรียกว่า เทระโกะยะ (Terakoya) จึงได้รับความนิยมอย่างมาก  

  "การศึกษา ในเทระโกะยะ"

"หนังสือเกี่ยวกับกายวิภาคเล่มแรกๆ ของญี่ปุ่น แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1774 "
  
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นตกอยู่ภายใต้ความกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เปิดประเทศสู่โลกภายนอก อีกทั้งโครงสร้างทางสังคมและการเมืองอันเข้มงวดที่อิเอะยะสึเป็นผู้กำหนดขึ้นภายในประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มที่จะทำให้เกิดความตึงเครียดอันเนื่องมาจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ในปี ค.ศ.1853 พลเรือจัตวา แมทธิว ซี เพอร์รี แห่งสหรัฐอเมริกา นำกองเรือ 4 ลำเข้ามาในอ่าวโตเกียว พลเรือจัตวาแมทธิวกลับมาอีกครั้งในปีถัดมา และประสบความสำเร็จในการชักจูงให้ญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีกับประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง ญี่ปุ่นได้ลงนามในสนธิสัญญาทำนองเดียวกันกับประเทศรัสเซีย อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นจึงเป็นการเปิดประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง สี่ปีต่อมาสนธิสัญญาเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสนธิสัญญาทางการค้า และญี่ปุ่นได้ลงนามในสนธิสัญญาทำนองเดียวกันนี้กับประเทศฝรั่งเศสด้วย

ผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านี้ เพิ่มความกดดันแห่งกระแสทางสังคมและการเมือง ซึ่งกัดกร่อนรากฐานของโครงสร้างระบบศักดินาทีละน้อย ความวุ่นวายครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นกินเวลาประมาณทศวรรษ จนกระทั่งระบบศักดินาของโชกุนโตกุงาวะได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1867 และได้ถวายอำนาจอธิปไตยทั้งมวลคืนพระจักรพรรดิในการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration) ในปีต่อมา
 
กลับสู่หน้าหลัก
หมายเลขบันทึก: 340942เขียนเมื่อ 1 มีนาคม 2010 16:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 12:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท