สองวันนี้ พา หน่วยงานวิจัย ของรัฐ แห่งหนึ่ง ไป เข้าแคมป์ ธรรมะ เป็นเวลา สองวัน
ผมได้ไอเดีย แนะนำ ผู้บริหารงานวิจัยว่า
1 ) ให้ดูพฤติกรรมสัตว์ ดังเช่น ที่ บริษัท Royal Dutch /shell ศึกษาวิชา เกี่ยวกับสัตว์ เพื่อมาดูองค์กรมีชีวิต
ผมก็เลย อุปมา นักวิจัย ก็เหมือน กอริลลา ในกรงที่ สวนสัตว์ (อย่าโกรธ นะ ที่อุปมาแบบสัตว์)
ธรรมชาติ ของลิงเขาต้องอยู่ในป่า มีอิสระเสรี มีที่อยู่เป็นอาณาเขต ฯลฯ พอเรา เอาพวกเขามาขัง เขาเขย่ากรง ก็เพื่อ คลายเครียด แสดงความเป็นใหญ่ ฯลฯ มันเป็นธรรมชาติ อย่าไปโกรธเขา
ในทำนองเดียวกับนักวิจัย ที่ได้ทุนไปเรียนเอกกลับมา โทกลับมา เราเอาเขา ที่อัตตาเยอะ(ประมาณ กอริลลา) มาขัง เงินเดือนนิดเดียว พวกเขา ก็เลย เอา อัตตามาชนกัน เขย่ากรง ตีอกใส่กัน ฯลฯ
ผู้บริหาร บริหารนักวิจัยแบบผิดธรรมชาติ เอา นักวิจัยมาใส่กรง
(อย่างไรก็ตาม ที่เอามาเล่าสู่กันทราบนี้ ผมไม่ได้หมายถึง หน่วยงานที่ไปเข้าค่ายธรรมะนี้นะครับ อย่าคิดมาก)
2 ) ตัวผู้บริหาร(บางแห่ง)เอง เอาแต่ ไปดูงานเมืองนอก เอาแต่ตั้ง KPI/BSC วัดผล แล้ว มากดดัน นักวิจัย
ตัวผู้บริหารเที่ยวเก่ง ไม่ค่อยจะอยู่พูดคุยดูแล ให้กำลังใจ อบรม หา "มุข" มากระตุ้นให้นักวิจัย "คึก"เห็นอะไรมามาก
ตนเองไปประชุมมากมาย แต่ไม่เคยพา นักวิจัยออกนอกกรงเลย นี่แหละ บริหารแบบผิดธรรมชาติ
นักวิจัยใหม่ ต้องการ coach ต้องการ คุณอำนวย แต่ หลายๆองค์กรวิจัย ไม่มีเวที ไม่มีพี่เลี้ยง มีแต่ "อัตตา"
ผู้บริหารทำตัวเป็น คุณ เสวยสุข ไม่เคยเป็น คุณเอื้อ
นักวิจัย พอเครียด ก็ไม่เข้าสู่ ก้นบึ้งของ ตัวยู ตาม U theory ไม่สามารถ ตกผลึกความคิดได้ง่ายๆ ไม่สามารถ open heart , open mind, open will ได้ ไม่มี นวัตกรรมออกมา ก็ไม่ควรโทษพวกเขา
เราต้อง วิจัย หา หัวปลาว่า ทำไม ผู้บริหารองค์กรวิจัย นักวิจัย ฯลฯ จึงไม่ผลิตผลงาน อุปมาทำไมแม่ไก่ไม่ออกไข่ (นักวิจัย ไม่มีผลงาน)
3) พวกนักวิจัยเขา จึงเอาเวลาไป สอนหนังสือนอกองค์กร ใจไม่จดจ่อกับงานวิจัย ( และก็โดนประนามว่า ไม่วิจัย ...นักวิจัยก็น้อยใจว่า " โถ ก็มันได้ เงินน้อย รู้งี้ ไม่เอาทุนไปเรียนต่อ ป่านนี้ ทำงานเอกชน สบายไปแล้ว")
4) มัวแต่ วิจัยงาน ไม่เคยวิจัยพฤติกรรมตนเอง และ ผู้บริหาร
5) นักวิจัย คิดเอง เออเอง อ่านเอง ไม่มี Personal mastery ไม่มีการทำ เวทีเสวนา ไม่เรียนเป็นฝูง (Team learning) เต็มไปด้วย mental model ฝันไม่ร่วมกัน ไม่คิดเพื่อองค์กร ชาติ (Systemic thinking) ฯลฯ
อ่านวารสารต่างประเทศ อ่านเอง คนเดียว ทั้งช้า ทั้งมั่ว ไม่เคยทำ book brief ร่วมกัน
วิจัยโดยไม่หา "ผู้รู้" แบบนี้ ผมว่าสู้ พวกชาวบ้าน ปอสี่ ปอเจ็ดที่ โรงเรียนชาวนา มหาชีวาลัย ฯลฯ ไม่ได้เลยครับ
ผู้บริหารก็ไม่เข้าใจเรื่อง กระบวนการวิจัย ที่ ยิ่งผิดพลาด นั่นแหละ เป็นกระบวนการหนึ่งของการเรียนรู้
5) ยิ่งเรียน มาสายเทคโนโลยีมากๆ ..... ผู้บริหาร นักวิจัย หลายท่าน ก็เลย เกลียดธรรมะ ....แทบจะหนี และ ต่อต้านก็มี
.......ก็เลย อยู่ใน กะลา ชื่อ วิทยาศาสตร์
น่า สงสาร เน๊อะ ....
6) วงการวิจัยไทย ในสายตาของผม (คือ ผมยังไม่เห็นครบทุกองค์กรวิจัย) จึงไม่เป็น วงการเรียนรู้แบบ LO &KM เท่าไรนัก
ขอบ่นๆ เอาแต่ มุมมองแคบๆ ของผม ตามนี้
อ่านแล้วก็นึกเห็นภาพ แต่ก็น่าเห็นใจนะคะ ทั้งผู้บริหารและนักวิจัย บางครั้งระบบ และสิ่งแวดล้อม มันก็เป็นตัวผลักดันให้เกิดปัญหาอย่างอ.ว่า เห็นแล้วก็ได้แต่ปลง
นักวิจัย ก็เหมือน เมล็ดพืช ถ้าไป ตกใน ดินที่ดี ชาวนาที่ดี ธรรมชาติดี ฯลฯ ( พันธุ์ดี สถานที่วิจัยดี อุปกรณ์ดี ผู้บริหารเยี่ยม เงินพร้อม ฯลฯ) ก็จะโตดี
นักวิจัย โดยเฉพาะ ที่จบมาใหม่ๆ ต้อง ได้รับการ อบรม บ่มเพาะ สร้างนิสัย (ผมเน้น เรื่อง พฤติกรรม หรือ สันดาน การวิจัย) ฯลฯ อย่างเป็นระบบ อย่าง LO&KM
ตอนผมทำงานวิจัยใหม่ ที่ NASA มีพี่เลี้ยง ค่อนข้างดี โดนปรับพฤติกรรมไปเยอะครับ
1) งานที่เหมาะกับ นักวิจัย คือ งานวิจัย ที่อยู่ในบรรยากาศแบบ LO & KM ที่มีการ empowerment มีการ ลปรร เป็นองค์กรแบบ The Living Company นี่แหละ
2) ผู้บริหารแบบนี้ ตามกฏแห่งกรรม เท่าที่อ่านมา คงไปเป็น สัตว์ครับ เพราะ เจอ "ตัวหลง" เข้าเต็มลัก
เอาเปรียบ เงินภาษีราษฎร ทำงานให้รัฐแบบไม่เต็มที่ มีแต่อัตตา เป็นมิฉาทิฎฐิ ฯลฯ เจอเวรกรรม ไปหลายเด้งครับ
3) ชาติหน้า คงยากที่จะได้มาเป็นมนุษย์อีกครับ
โกงเงิน ประชาชน รัฐบาล แค่ 1 บาท ต้องคูณ 70 ล้าน (เท่าจำนวนประชากร) เป็นบาปที่ทำ คือ เท่ากับ ขโมย 70 ล้านบาท
โกงเวลา เอาแต่ ดูงาน เอาแต่เที่ยว ไม่รับผิดชอบ ขาดสติ ขาดปัญญาในการบริหาร ฯลฯ ก็ยากที่จะได้ เป็นคนอีก ชาติหน้ คงต้อง เป็นสัตว์ประเภทเร่ร่อน ไม่มีถิ่นอาศัยถาวร เหนื่อย หนี ทั้งวัน
กรรมของคนไทย ครับ ที่มี คนแบบนี้ บริหารงาน
แต่ เราก็ต้องให้อภัยเขา อย่าไปอาฆาต อย่าไปแช่ง
ผมนำเสนอ เพื่อ เป็นอุทาหรณ์ สอนใจ เตือนใจ ฯลฯ
อาจจะเป็น กรรมดี บุญของประเทศก็ได้ ที่ไม่ผลงานวิจัยเรื่อง ที่อาจจะเป็นผลทำลาย ศีลธรรม ทำลายวิถีแห่งความดี ส่งเสริมกิเลส เร่งเทคโนโลยีที่ไม่เหมากับการพัฒนาจิตใจ ฯลฯ
ตอนผมทำงานวิจัยใหม่ ที่ NASA มีพี่เลี้ยง ค่อนข้างดี โดนปรับพฤติกรรมไปเยอะครับ
ผมกำลังถามอะไร อาจารย์?
เราคงเป็นพุทธ ตามกระทรวงศึกษา(ในอดีต) สอนมาเท่านั้น ไม่ได้เจาะลึกถึง real พุทธ
เราปริยัติ กันมากกว่า ปฏิบัติ
วัดผลทางศาสนา ที่ จำ ท่อง มากกว่า เปลี่ยนพฤติกรรม
ทำให้ เราดูเหมือนว่าถือพุทธ แต่ ใจไม่พุทธ
ฝรั่งเอง แม้นไม่ถือพุทธ แต่หลายคน ก็มีธรรมะในใจ การมี พรหมวิหารสี่ ของฝรั่ง แสดงออกให้เห็นบ่อยๆ
สังคมของเขาที่ดีๆ ที่"คิดเป็น" รักสัตว์ แบ่งปัน เห็นใจ (consideration) ฯลฯ เป็นเพราะ ระบบการเลี้ยงลูก การเป็นพ่อแม่ มีการเรียนรู้ที่แน่นกว่าไทย
ทั้งรัฐบาล สื่อมวลชน ทีวี ฯลฯ เห็นความสำคัญของเยาวชน การเรียนรู้ตลอดชีพ ฯลฯ
ผมว่า เราจะต้อง จัดระเบียบ ระบบ การอบรม สั่งสอนลูกหลาน CoP ด้านการเลี้ยงลูกต้องเข้มแข็ง สถาบันครอบครัวต้องแน่น ควรเรียกคนในวงการต่างๆ สื่อ ราชการ ฯลฯ มาร่วมมือกัน หยุดทำลายลูกหลาน ด้วยการ อย่าเป็นตัวอย่างไม่ดี อย่าส่งเสริมคนรวย คนมีตำแหน่ง อย่าเน้นวัตถุนิยม ฯลฯ
คงน่ายินดี ที่คนในวงการสื่อ นสพ ทีวี วิทยุ ฯลฯ หันมาทำ LO & KM คิดเป็นระบบเพื่อโลก เพื่อความดีงาม ยั่งยืน ฯลฯ เข้า blog และ ทราบซึ้งปัญหา ทำ show & share เพื่อการพัฒนาเยาวชน ไม่หลงไปกับ เงิน ค่าเช่าสถานี ค่าโฆษณา ค่าตัว หรือ ความสนุกส่วนตัวในการทำสื่อ
ตอนนี้ ผมว่า ฝรั่งมาทางพุทธ มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น Peter Senge / Stephen Covey เป็นต้น
อาจจะเป็นอย่างที่ หลวงพ่อพุธ ท่านเคยเมตตาบอกว่า สักวันหนึ่ง ศาสนาพุทธจะเสื่อมจากไทยและไปเจริญในต่างประเทศ ฝรั่งจะเอาฝึก คนได้จะรักษาพระศาสนาเอาไว้ไม่ได้
พี่เลี้ยงผมที่ NASA เป็น ฝรั่ง ยิว อินเดีย และ จีนจากแผ่นดินใหญ่ ผสมหลายชาติครับ เป็นทีมครับ
พิมพ์ผิด จะกลับไปแก้ ทำไม่เป็นครับ
คนไทย จะรักษาพระศาสนาเอาไว้ไม่ได้
อีกมุมมอง : เมื่อไร วิชาการกับวิชาเกิน จะเข้ากันสักทีนะ!! คนทำไม่ได้ใช้(เร่งๆทำให้เสร็จ คนละวัตถุประสงค์กับคนใช้) คนใช้ไม่ได้ทำ(ขาดทักษะการเรียนรู้ เครื่องไม้เครื่องมือและการแสวงหาความรู้ ==> การจัดการความรู้)
ฟังพวกอาจารย์สนทนากัน สนุกดีครับ เหมือนอยู่คนละโลก ภาษาParadigm เขาบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรจะต้องกลับมาที่จุดศูนย์กันก่อน ไม่ว่าจะพัฒนาอะไรไปแล้ว ก็ต้องถือว่ากลับมาที่จุดศูนย์ ซึ่งน่าจะหมายความว่าให้อยู่กับปัจจุบันนะครับ
หากมองที่มาของคำว่างานวิจัยหรือนักวิจัย มองไปที่ภาษาอังกฤษ คำว่า Research มันแปลแบบซื่อๆ คือ Searchแล้ว Searchอีก มันน่าจะแสดงให้เห็นว่าต้องใช้LO&KM มากๆๆๆ เลยนะครับ ผมรู้สึกภาษาอังกฤษเห็นความหมายมากกว่านะครับ เห็นความต่อเนื่องมากกว่า
ขออนุญาต ออกความคิดเห็นเล็กๆ ครับ ล่วงเกินขอประทานอภัยครับ
ในฐานะ ที่เป็นลูกน้องในองค์กรแบบนี้ วิธีแก้
1) หา มุข มาหลอกล่อ ให้ผู้บริหาร เปลี่ยนวิธีคิด เช่น เชิญ นพ วิจารณ์ เข้าไป แนะนำ
ที่บางแห่ง เขาก็ เชิญ คุณ พารณ อิศรเสนา ฯ บ้าง
เชิญ ดร อาจอง ชุมสาย ฯ บ้าง
คือ ต้องเอา ระดับ ที่ น่าเชื่อถือ เข้าไปแนะนำ
2) แอบๆ ว่า ตำรา บทความ หนังสือ ด้าน LO & KM ให้ผู้บริหารบ้าง
ให้ พวกเขาอ่านเอง แล้ว นึกได้เอง initiate เองว่าอยากทำ (แต่ จริงๆ แล้ว เรา "ชง" ให้)
พวกเขา ฟอร์มจัด เราไปบอกตรงๆ จะปฏิเสธ
ถ้าเป็นไปได้ มีเงิน ก็เชิญ Peter Senge มาสอนเลย
หรือ เอา Brochure ที่ Senge ไปปาถกฐา ต่างประเทศมายั่ว
คนพวกนี้ ชอบไปเที่ยวเมืองนอก อยู่แล้ว เขาจะได้ ปิ๊ง และ ริเริ่มที่จะทำ
3) ทำของเราเอง ในหน่วยงานเล็กๆ เท่าที่เราจะมีอำนาจ ทำกันแค่ 3 -5 คน ก็ดีกว่าไม่ทำ
"มีน้อยก็ทำ มีมากก็ทำ เอาเฉพาะคนมีใจ"( จาก แพรกหนามแดง)
เข้า เว็ป คหา ผู้รู้ของเราเอง ฯลฯ
4) สวดมนต์ ไหว้พระปฏิบัติธรรม ฝึกจิตของเราอย่างต่อเนื่อง
ให้อภัย คนพวกนี้
เขาเป็น ตัวสอบอารมณ์เรา เขาจะดีชั่ว ก็อย่าไป จิตตก อย่าส่งจิตออกนอก
5) หมด คนรุ่นนี้ ก็คงจะดีขึ้นครับ
เอาไว้ เราเป็นใหญ่ ก็อย่าทำแล้วกัน
6) ย้ายงานครับ (ถ้าทำได้)
งานวิจัย ไม่ได้จำกัดว่าต้องทำกับองค์กรนี้ ในมหาฯ ในงานเอกชน ยังมีอีกมาก
ยกเว้น ติดทุน ฮ่าๆๆๆ
*******************************
ผมชอบ คำที่ว่า search แล้ว search อีก จนต้อง re อีกครั้ง
แสดงให้เห็นว่า ความล้มเหลว เป็น หนทาง เป็นทางผ่าน ของความสำเร็จ
อันดับแรก ขอโทษด้วยครับ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่ชื่อ ข้อความ ไม่แสดงตน ผมเองครับ เห็นบันทึกคนให้ความเห็นเยอะดี เรื่องน่าสนใจ เลยขอออกความเห็นบ้าง
ขอเสริม "มุข" การยั่วให้ "นาย" อยาก เรียนรู้ เรื่อง องค์กร รร และ การบริหารความรู้
จัดกิจกรรม _book brif ` เชิญ นาย มาเปิดงาน (พวกชอบ หน้าใหญ่ จะมายืด)
ทำบ่อยๆ สรุปให้ นายอ่าน ทั้ง ด้วย เอกสารกระดาษ ส่งอีเมล์ วีซีดี เล่าให้่ฟังในขณะเดินทาง ทานอาหาร ฯลฯ
คือ แทนที่ จะเป็นบอกนายแบบ ตรงๆ เราใช้ ใน ตำรา ในการบรรยายของอาจารย์ ฯลฯ บอกอ้อมๆ ให้ท่านดูฉลาด
ถ้าท่านมี กึ๋น ท่าน จะแอบไปอ่านเอง และ บางนายจะออก มา มั่วว่า ท่านเข้าใจเอง ท่านอ่านมาก่อน (ตาม สันดานดิบ ของ นายแต่ละคน)
นายที่จริงใจ อาจจะยอมรับว่า ท่านไม่รู้มาก่อน
นายบางท่าน เป็น นักวิทยาศาสตร์ เป็นอาจารย์ ฯลฯ ท่านไม่ได้อยู่ในวงการบริหาร ความรู้เลย ท่านเก่ง
ในวงการ ลงลึกในศาสตร์ของท่าน * อย่าไปเพ่งโทษ อย่าไปประมาท *** เจ้า่นายเป็นอันขาด เพราะ หากเรา เก็บสีหน้าไม่เป็น นายบางคน อ่านหน้าเราออก หากเราเก็บอาการไม่เป็น หรือ หลุดคำพูดนินาทแซวท่าน
ท่านอ่านเกมเราออก "มุข" นี้จะพลาด
**********************
ขอบคุณ คนดอย .....สารภาพว่า ลืมไปจริงๆ
*********************
ตอนนี้ โพสต์มาจาก ลำปาง การไฟฟ้าฯ แม่เมาะ
เป็นหน้าที่ของ คุณอำนวย คุณเอื้อ ที่ จะ วางแผน สร้างเวที หลอกล่อ กระตุ้น ยั่ว ท้าทาย ฯลฯ ให้นักวิจัย ระเบิดความคิดดีๆออกมา คึกคักที่จะค้นหาคำตอบ
ม่วนอ้ก ม่วนใจ๋ ที่จะวิจัย
ถูกต้องคะคุณ Panda ระบบไม่อนุญาตให้แก้ไขข้อคิดเห็นคะ แต่ลบทิ้งได้คะ
ปล. อ่านบันทึกของคนไร้กรอบแล้วสนุกและประเทืองปัญญาคะ
ขอบคุณคะ
จันทวรรณ
สมัย ผม ทำงานวิจัย ที่ NASA จะไม่ค่อยเห็น
อาจารย์ มาเป็นนักบริหารองค์กรวิจัย
ใช้ มืออาชีพ บริหารงานวิจัย
ส่วน นักวิจัย ให้แบบ เรื่องเดียว 6 มหา ฯลัย ทำแข่งกัน
เจอกัน ในเวที ทุก 6 เดือน ผมอยู่ NASA เป็น Host ครับ จัดเวที จัดพิมพ์ ลิขิต อำนวย ฯลฯ
ได้มาใช่ บริการ ของ ดร จันทวรรณ ก็มีความสุขครับ
ให้กำลังใจเสมอครับ
ใหม่ๆ ระบบมันก็แบบนี้ครับ ทำไปแก้ไป ดูจิตของเราไป
ไม่มีใครเก่ง ใครสมบูรณ์แบบครับ
ไม่มีความผิดพลาดครับ มีแต่ กระบวนการที่ทำไปแก้ไปครับ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับกำลังใจ
น่าจะวิจัยกระบวนการคัดสันผู้บริหารของนักวิจัยก่อนนะอิอิ
แล้วก็วิจัยกระบวนการคัดสันนักวิจับ
แล้วก็วิจัยว่าทำไมไก่ถึงไม่ออกไข่
แล้วก็วิจัยตัวเอง
อิอิ