อธิบายภาพ ๑ : คาราวานเกวียนขนข้าวไปแลกของที่ตลาดชุมแสง ลานจอดเกวียนในอดีตก็คือบริเวณที่เป็นท่าจอดรถชุมแสง-หนองบัว ตรงข้ามสถานีรถไฟชุมแสงในปัจจุบัน วาดภาพ : วิรัตน์ คำศรีจันทร์ วันวิสาขบูชา ๒๕๕๓
อธิบายภาพ ๒ : ท่ารถชุมแสงในปี ๒๕๕๓ ในอดีตนั้นตลอดตามแนวทางรถไฟออกไปทางซ้ายมือจากที่เห็นในภาพโดยการเดินเท้า ต่อเนื่องกันไปอีกประมาณ ๑๐ นาที ก็จะเป็นบริเวณที่จอดเกวียน ท่าเทียบเรือชาวบ้าน และในบริเวณใกล้กันก็จะเป็นสถานีลงแร่จากเหมืองแร่ปากดงอำเภอหนองบัวและในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์
ไกลปืนเที่ยง แต่เป็นแหล่งแร่ยิบซั่มและไม้ : หนองบัวและชุมแสงกับสังคมไทยเมื่ออดีต
แต่เดิมนั้นพื้นที่อำเภอหนองบัวดังในปัจจุบันนี้เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร และอำเภอท่าตะโกกับอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาเมื่อสังคมขยายตัวมากขึ้น จึงได้รวมชุมชนและพื้นที่เพื่อตั้งเป็นกิ่งอำเภอเมื่อปี ๒๔๙๑ และต่อมาก็ตั้งเป็นอำเภอหนองบัว[Click here] ขึ้นอยู่กับจังหวัดนครสวรรค์ในสภาพที่หน่วยงานต่างๆของราชการยังไม่มีสถานที่ทำการ เช่น สถานีตำรวจภูธรในระยะแรก[Click here] ก็อาศัยสถานที่ในวัดหนองกลับเป็นสำนักงานชั่วคราว งานด้านสุขภาพและสาธารณสุขก็บุกเบิกผสมผสานกับระบบสุขภาพที่มีในท้องถิ่นโดย ๔ ส่วน คือ
(๑) ดำเนินการโดยภาครัฐ โดยบุคลากรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อนามัยและผดุงครรภ์ ณ เวลานั้น ยังไม่มีโรงพยาบาลระดับอำเภอ หมอหนิม หมออนามัยและพยาบาลผดุงครรภ์คนเก่าแก่ จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งในพัฒนาการของอำเภอหนองบัวเลยทีเดียว
(๒) ดำเนินการโดยภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นวิถีสุขภาพที่ขับเคลื่อนโดยหมอตำแย หมอชาวบ้าน หมอพระ ในอดีต แม่ใหญ่หนูหรือยายผมซึ่งอยู่บ้านกลาง กับแม่ใหญ่แดงบ้านใต้ เป็นหมอตำแยของญาติพี่น้องและลูกหลานแทบจะทั้งหมดของบ้านห้วยถั่วและชุมชนที่เป็นบ้านตาลินปัจจุบัน พ่อผมเองนั้นก็ไปอบรมและฝึกหัดฉีดยา จนกลายเป็นหมอฉีดยาและเหมือนกับเป็นอาสาสมัครซึ่งชาวบ้านที่ไปโรงพยาบาลและได้รับยาฉีดมาจากหมอ เมื่อกลับไปอยู่บ้านก็จะได้รับการแนะนำให้ไปฉีดยาที่ครูฟื้น คำศรีจันทร์ คือพ่อของผม ทั้งผมและแม่เป็นลูกมือในการต้มเครื่องมือช่วยพ่ออยู่เสมอ ชานเรือนบ้านผมจึงเป็นเหมือนสถานีอนามัยเลยทีเดียว หมอหลุยและร้านหมอหลุย : ปานขลิบโอสถ ก็เป็นแหล่งดูแลสุขภาพให้กับชาวหนองบัวที่สำคัญมาก
(๓) โรงพยาบาลคริสเตียน โดยหมออาสาสมัครและองค์กรพัฒนาเอกชนที่อุทิศตนทำงานเพื่อพระศาสนาที่ตนนับถือ
(๔) การพึ่งความเชื่อ หมอเป่า หมอน้ำมนต์ หมอผี การรักษาไปตามความเชื่อ และตามยถากรรม
หนองบัวห่างจากอำเภอชุมแสง ๓๐ กิโลเมตร ซึ่งในระยะแรกนั้นมีสภาพเป็นป่าและลำห้วยตลอดเส้นทาง ชาวบ้านต้องเดินทางติดต่อกันด้วยการเดินเท้า ขี่ม้า และขี่ช้าง ซึ่งไม่สามารถเดินทางไปกลับได้ในเวลา ๑ วัน ในหน้าน้ำหลากนับแต่เดือนกันยายนถึงธันวาคมก็จะสามารถเดินทางด้วยทางเรือซึ่งมีคลองที่สามารถเดินเรือไปถึงหนองบัวโดยมีท่าเทียบและจอดเรือเป็นคุ้งน้ำและต้นโพธิ์อยู่เลยบริเวณที่เป็นสำนักงานไปรษณีย์หนองบัวในปัจจุบัน แต่การพายเรือด้วยมือก็ไม่สามารถเดินทางไปกลับหนองบัว-ชุมแสงใน ๑ วันได้เช่นกัน
นอกจากนี้ พื้นที่ชุมแสงนั้นเป็นที่ลุ่มต่ำกว่าหนองบัว ในหน้าฝนและน้ำหลาก น้ำในลำธารจะไหลแรงจากหนองบัวไปชุมแสง การเดินทางด้วยการถ่อและพายเรือก็จะต้องปะทะกับแก่ง คุ้งน้ำ รากไม้และโคนไม้ เมื่อใกล้ถึงบริเวณที่เป็นบ้านสระงามดังปัจจุบันซึ่งห่างจากชุมแสงเกือบ ๑๐ กิโลเมตร ก็จะปกคลุมด้วยป่าไผ่อย่างหนาแน่น กระนั้นก็ตาม การพายเรือขาล่องก็เร็วกว่าขากลับซึ่งจะต้องต้านธารน้ำไหลและใช้เวลามากกว่า ๓-๔ เท่า หากไม่จำเป็นแล้ว ชาวบ้านหนองบัวและชุมชนโดยรอบก็จะไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกมากนัก
เส้นทางที่ลัดเลาะไปตามลำธารและจะเป็นดินโคลนในหน้าฝน บุกเบิกเป็นเส้นทางสัญจรโดยรถบรรทุกแร่ยิบซั่มจากเหมืองแร่ในป่าปากดงเพื่อไปลงแร่และขึ้นรถไฟที่สถานีลงแร่ อำเภอชุมแสง ก่อนถึงสถานีรถไฟชุมแสงเล็กน้อยโดยมีโบกี้รถไฟสำหรับบรรทุกแร่ขนถ่ายแร่ ล่องไปกรุงเทพฯต่อไป
นอกจากนี้ ก็มีรถขนไม้จากป่าหนองบัวไปขึ้นรถไฟหรือล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทั้งในอดีตนั้น พื้นที่หนองบัวและเพชรบูรณ์จัดว่าเป็นพื้นที่สีแดงและสีชมพูซึ่งเป็นเขตแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ จึงเป็นเส้นทางของรถถังและรถจีเอ็มซีขนกำลังทหารจากค่ายจีระประวัติไปในป่าหนองบัวและป่าเพชรบูรณ์ ชาวบ้านที่จำเป็นต้องเดินทางระหว่างหนองบัว-ชุมแสง จึงเดินทางได้ด้วยการอาศัยรถแร่ รถขนไม้ และรถทหาร รวมทั้งในบางครั้งก็มีรถเรนจ์โรเวอร์ของราชการเข้าไปปฏิบัติงานหน่วยงานต่างๆในพื้นที่
ต่อมา ประมาณปี ๒๕๑๐ จึงเริ่มมีรถเมล์หนองบัว-ชุมแสง โดยเริ่มจากรถเมล์แดง และต่อมาก็มีอีกเจ้าหนึ่งเป็นรถเมล์เขียว ซึ่งเรียกว่ารถเมล์เจ๊กไถ่ พร้อมกับเริ่มมีการติดเครื่องเรือและมีเรือหางยาว หลังปี ๒๕๑๐ ชาวบ้านจึงสามารถเดินทางไปกลับหนองบัว-ชุมแสงได้ภายใน ๑ วัน นอกฤดูทำนา สองข้างทางหนองบัว-ชุมแสงก็จะมีไร่แตงไทยและแตงโม รวมทั้งไร่ฝ้าย ถั่วลิสง ข้าวฟ่างและงา เรียงรายอยู่เป็นระยะๆ จัดว่าเป็นพื้นที่เหนือบึงบระเพ็ดและภาคเหนือตอนล่างที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแหล่งหนึ่งของประเทศ
ต้องใช้เวลา ๒-๓ วันและซื้อสิ่งของด้วยข้าวเปลือก : คาวานเกวียนและการเดินทางไปแลกสิ่งของที่ชุมแสง
ถึงแม้ว่าการเดินทางหนองบัว-ชุมแสงจะมีความยากลำบากและไม่สามารเดินทางไปกลับได้ภายใน ๑ วัน แต่เมื่อชาวบ้านต้องการสินค้าและเครื่องใช้ทั้งหลายที่ชาวบ้านผลิตไม่ได้ ก็มีความจำเป็นที่จะไปซื้อหาจาก ๔ แหล่งที่สำคัญ คือ ชุมแสง ปากน้ำโพ ตะพานหิน และพิษณุโลก หากต้องไปไกลมากกว่านี้ก็จะเป็นกรุงเทพฯและกำแพงเพชรซึ่งก็จะใช้เวลานับเป็นสัปดาห์
ความยากลำบากในการเดินทางและติดต่อกับโลกภายนอกในลักษณะดังกล่าว ทำให้ชื่อชุมชนบางแห่งของหนองบัว เช่น ไดเจ๊กห้า มีเรื่องเล่าที่มาของชื่อว่าเกิดจากเจ๊กหนองบัวไปซื้อเกลือมาจากชุมแสง ๕ ถังและต้องเดินหาบไปหนองบัวหลายวันด้วยความเหนื่อยยาก กระทั่งเหน็ดเหนื่อยและไปขาดใจตายกลางทางตรงที่ได้ชื่อว่า ไดเจ๊กห้า[Click here] ในปัจจุบัน
แถวบ้านผม คือบ้านตาลิน อำเภอหนองบัว ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอชุมแสงประมาณ ๒๓ กิโลเมตรและต้องเดินเท้าลึกเข้าไปจากถนนอีกประมาณ ๒ กิโลเมตรนั้น ทุกปีหลังฤดูเก็บเกี่ยวและนวดข้าวแล้ว ก็จะรวมตัวกันเดินทางไปชุมแสงสักครั้งหนึ่ง ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีเงินและไม่ได้ใช้สตางค์ในชีวิตประจำวัน แต่จะใช้ข้าวเปลือกแลกสิ่งของที่ต้องการ
เมื่อถึงวันที่จะไปแลกข้าวกับสิ่งของที่ชุมแสง ก็จะตวงข้าวเปลือกใส่เกวียนซึ่งเล่มหนึ่งก็จะบรรทุกได้ ๕๐ ถัง บางเจ้าที่เตรียมจัดงานสำคัญในครอบครัว เช่น เป็นเจ้าภาพกฐิน บวชลูก แต่งงานลูกหลาน จำเป็นต้องใช้ข้าวเปลือกแลกสิ่งของมากกว่า ๑ เล่มเกวียนก็จะขอแรงและให้ค่าจ้างเกวียนญาติพี่น้องหรือคนในหมู่บ้านขนข้าวเปลือก ๔-๕ เล่มเกวียนโดยคิดเป็นค่าจ้างเป็นข้าวเปลือกเล่มเกวียนละ ๔-๕ ถังหรือเป็นเงินประมาณ ๕๐ บาท
ส่วนผู้ที่ต้องการแลกสิ่งของจำนวนน้อยและไม่ค่อยมีข้าวเปลือก ก็จะฝากข้าวเปลือกผู้อื่นไป ๑-๒ ถังและระบุสิ่งที่ต้องการซึ่งโดยมากก็จะเป็นเกลือ กระเทียมดอง และอาหารที่เก็บไว้กินได้เป็นปี
ชาวบ้านจะตวงข้าวใส่เกวียนและเริ่มออกเดินทางเมื่อไก่ขันครั้งแรกเหมือนการไปหาไม้และอาหารจากป่าหนองบัว กว่าจะถึงชุมแสงก็จะเป็นเวลามืดค่ำ ก็จะต้องจอดเกวียนนอนกันก่อน ๑ คืน โดยถอยเกวียนและหันหน้าเข้าหากัน ตีวงล้อมเป็นวงกลม วางเวรยามเฝ้าเกวียนและวัวควาย
ครั้งหนึ่งๆ ก็จะมีชาวบ้านหมุนเวียนไปแลกของและนอนค้างแรม ๑๐-๒๐ เจ้า บริเวณที่เป็นลานจอดกองคาราวานเกวียนของชาวบ้านในอดีตก็คือ บริเวณที่เป็นท่ารถโดยสารชุมแสง-หนองบัว ตรงข้ามด้านหน้าสถานีรถไฟดังในปัจจุบันนี้นั่นเอง
หลังจากพักค้างคืน ๑ คืนแล้ว วันรุ่งขึ้นอีก ๑ วันชาวบ้านจึงจะเริ่มแลกข้าวกับสินค้าและสิ่งของที่ต้องการ จากนั้น ก็จะนอนค้างอีก ๑ คืนและเริ่มออกเดินทางกลับเมื่อค่อนคืน ถึงหมู่บ้านเมื่อมืดค่ำของอีกวันหนึ่ง รวมที่จะต้องใช้เวลา ๓ วัน หากรีบเดินทางไปและกลับก็จะใช้เวลา ๒ วัน
๑ ถังเท่ากับกางเกงนักเรียน ๑ ตัว : การแลกข้าวเปลือกกับสินค้า
เมื่อก่อนนั้น ในยุคประมาณปี ๒๕๑๐ น้ำอัดลมเฮาดี้และเป๊บซี่ราคาเท่ากับก๋วยเตี๋ยวและก๋วยจั๊บ ๑ ชาม หรือนมเย็น ๑ ถุง คือ ๖ สลึง บุหรี่ไม่มีก้นกรองตราพระจันทร์และสามิตรราคา ๓ บาท ข้าวเปลือกถังละ ๑๐ บาทบ้าง ๑๔ บาทบ้าง เล่มเกวียนหนึ่งซึ่งบรรทุกข้าวเปลือก ๕๐ ถังก็จะขายเป็นเงินและแลกของคิดเป็นเงินได้ประมาณ ๕๐๐-๘๐๐ บาท โดยมากแล้วชาวบ้านก็จะแลกกลับมาเป็นสิ่งของทั้งหมด โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ของที่จะแลกเพื่อนำเอาไปแบ่งกันเมื่อกลับไปถึงหมู่บ้านและของที่จะแลกเป็นส่วนตัว
ของที่จะแลกรวมกันและนำกลับไปแบ่งกันต่อไปนั้น ชาวบ้านจะหารือและคำนวณจำนวนที่เพียงพอสำหรับทุกครัวเรือนที่อยู่ด้วยกันในกลุ่มบ้าน สิ่งที่จะแลกรวมกันจะประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ สิ่งที่ทุกครอบครัวจำเป็นต้องใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น เกลือ กระเทียมดอง ผักกาดดอง ไตปลา ปลาทูเค็ม หอม กระเทียม ผักกาดเค็ม น้ำตาลปีบ ปูนกินหมาก เส้นยาสูบสำหรับกินหมากและสูบยา และสิ่งที่เป็นอาหารสด เช่น ปลาทะเล หมู ส่วนสิ่งที่แต่ละครอบครัวจะแลกเป็นของตนเองตามความต้องการ โดยมากก็จะเป็นสิ่งที่มีความต้องการแตกต่างกันไป เช่น เสื้อผ้า ผ้าห่ม ด้ายและเข็ม เส้นหมี่ น้ำมันก๊าด ไส้ตะเกียงเจ้าพายุ เหล่านี้เป็นต้น
เมื่อแลกของและกลับถึงหมู่บ้าน ก็จะนำของไปกองรวมกัน ทุกบ้านก็จะมารวมกัน ช่วยกันแบ่งของและทำอาหารกินกัน แม้บางบ้านทำนาไม่ค่อยได้ข้าวและฝากข้าวเปลือกไปแลกของจำนวนน้อยแต่ของบางอย่างก็จะแจกจ่ายเผื่อแผ่กันไปทุกบ้าน บรรยากาศในยามนั้นสำหรับเด็กๆแล้วก็ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ไป ๔-๕ วัน ได้กินขนมไพ่แถมลูกโป่ง ได้เสื้อกันหนาวและผ้าห่มผืนใหม่ซึ่งใส่และห่มแล้วก็เห่อแทบจะนอนไม่หลับ
พื้นฐานการติดต่อและก่อเกิดเครือข่ายทางสังคมของชาวบ้านในพื้นถิ่นหนองบัว โดยมากจึงเป็นเครือข่ายการพึ่งพาอาศัยเพื่อการดำรงชีวิต แลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่ออุปโภคบริโภคและปัจจัยเพื่อการทำมาหากิน สุขภาพและการสาธารณสุขเน้นการพึ่งตนเองและเป็นวิถีสุขภาพในความเชื่ออีกชุดหนึ่ง เรียนรู้และสัมผัสโลกภายนอกผ่านสื่อกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับคนภายนอก ผู้คนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะสามารถคิดถึงการเรียนรู้และการศึกษาสมัยใหม่ที่กว้างไกลไปมากกว่าประถม ๔ และการศึกษาอบรมผ่านการบวชเรียนจากวัดในท้องถิ่น
เศรษฐกิจแบบพึ่งพาอาศัยกัน : ความผูกพันดังญาติของผู้คน
การเดินทางด้วยเท้า เกวียน และเรือพาย นอกจากจะต้องพึ่งพาอาศัยผู้คนตามแหล่งปลายทางและแหล่งพักการเดินทางตามแหล่งต่างๆแล้ว ก็เอื้อต่อการได้ปฏิสัมพันธ์กันของชาวบ้านอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ชาวบ้านจึงมักจะรู้จักและนับความเป็นญาติพี่น้องกันตลอดเส้นทาง รวมทั้งในแหล่งที่จอดกองคาราวานเกวียนและท่าจอดเรือที่บ้านชุมแสง พื้นฐานดังกล่าวยังคงสะท้อนให้เห็นได้แม้ในยุคที่มีรถโดยสารแล้ว โดยจะพบว่าการโดยสารรถเมล์หนองบัว-ชุมแสงนั้น จะเป็นรถโดยสารที่เดินทางอย่างแช่มช้าเพราะจะต้องแวะรับฝากและส่งของฝากถึงกันไปด้วยตลอดทาง เมื่อจอดที่ใด ทั้งคนขับรถและผู้โดยสารก็มักจะตะโกนทักทายเยี่ยมเยียนคนรู้จักกันในสองข้างทางไปด้วย
อธิบายภาพ ๓ : กลุ่มผู้สูงวัย ริมซ้ายสุดจากอำเภอหนองบัว ชุดสีเหลืองที่สามจากริมขวาคือแม่ของผู้เขียน นางบุญมา คำศรีจันทร์ จากบ้านตาลิน อำเภอหนองบัว ส่วนที่เหลืออีก ๔ ท่านเป็นกลุ่มคุณแม่จากชุมแสง ทุกท่านเป็นคนเก่าแก่ เป็นเจ้าของกิจกรรมและร้านค้าทั้งในยุคดั้งเดิมและปัจจุบันของชุมแสง มีลูกหลานที่เล่าเรียนทำการงานอยู่ทั่วประเทศ ๖-๘ คน คุณแม่ชุดสีม่วงอ่อนนั้น มีลูก ๔ คน เป็นหมอ ๓ คน และวิศวกร ๑ คน คนหนึ่งอยู่ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คุณแม่จากหนองบัวริมซ้ายสุดเป็นครอบครัวกิจการโรงสีเก่าแก่ที่หนองบัว ข้างสระวัดหลวงพ่ออ๋อย
เมื่อสงกรานต์ เมษายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ระหว่างน้องสาวและแม่รอส่งผมขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่เมื่อกลางดึกของคืนวันหนึ่ง แม่มองไปยังลานจอดพักกองคาราวานเกวียนจากบ้านของเราซึ่งปัจจุบันได้เป็นท่าจอดรถชุมแสง-หนองบัว พร้อมกับเดินชมรอบๆสถานีรถไฟชุมแสงซึ่งนอกจากพนักงานรถไฟ ๒ คนกับน้องสาว หลาน แม่ และผมแล้ว ก็ไม่มีใคร แม่ได้เล่าเรื่อง พ่อเฒ่าคูณ ที่บ้านชุมแสงให้ผมฟัง
เมื่อหลายปีก่อน มีคนเล่าให้แม่ฟังว่า พ่อเฒ่าคูณ คนชุมแสงซึ่งเคยผูกพันกับชาวบ้านแถวบ้านผม เมื่อแก่ตัวลงอายุกว่า ๗๐ ปีนั้น แกมักออกมานั่งอยู่ที่สถานีรถไฟชุมแสงแทบทุกวัน เมื่อเจอคนแถวบ้านผมและเขาถามแกว่าจะไปไหน แกก็บอกว่าไม่ได้ไปไหน แกมานั่งอยู่ที่สถานีรถไฟทุกวันโดยบอกว่า “...เผื่อว่าจะมีคนแถวบ้านเราออกมาบ้าง...” แกคิดถึงชีวิตเมื่อครั้งได้ไปมาหาสู่กันอย่างในอดีตและเรียกคนแถวบ้านผมว่า ‘คนแถวบ้านเรา’
แม่ว่าแกออกมานั่งอยู่สถานีรถไฟอยู่อย่างนั้นหลายปี กระทั่งมาปีสองปีนี้ แกไม่ได้ออกมานั่ง และไม่มีใครเห็นแกอีกแล้ว.
สวัสดีค่ะ
สมัยก่อนทีนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพ หน้น้ำมักจะเห็นน้ำท่วมแถวข้างทางรถไฟ อำเอภบางมูลนาคและอำเภอชุมแสง แต่ไม่มีข่าวการเสียชีวิตเหมือนปัจจุบันนะคะ
เพื่อนคนหนึ่งเขาอยู่อำเภอชุมแสงเขาบอกว่าปลาเล็ก ๆ ไม่ทานและสามารถเลือกทานต้มยำพุงปลาและหัวปลาช่อน ไข่ปลาช่อนเท่านั้น
อ่านแล้วทำให้มองเห็นวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เอาของแลกได้กลับไปแบ่งกัน เด็ก ๆ ได้ทานขนมอร่อย ได้ผ้าห่มใหม่
ความรัก ความสามัคคีอันดีต่อกันเป็นพื้นฐานการปฏิบัติที่สืบต่อกันมา คนขับรถตะโกนทักทายกันตามเส้นทาง ถ้าหากมีผู้คนถิ่นอื่นไปอยู่ด้วยอาจทำให้วัฒนธรรมเปลี่ยนไปนะคะ เพราะเขาไม่คุ้นกับวัฒนธรรมดั้งเดิม
พ่อเฒ่าคูณ คงคิดถึงคนในหมู่บ้านเพื่อนเก่า หรือคนคุ้นเคยมากนะคะ
ขอขอบพระคุณค่ะ
สวัสดีครับคุณครูคิมครับ
คำขวัญอำเภอหนองบัว :...'หลวงพ่อเดิมสร้างเมือง | ลือเลื่องความสามัคคี | ประเพณีบวชนาคหมู่ | หินสีชมพูคู่เขาพระ | เมืองพันสระนามกล่าวขาน | พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านมากมี | ข้าวสารดีคือหนองบัว'
ท่านใดคือผู้ให้คำขวัญของหนองบัวครับ
สวัสดีครับคุณปีกแข็งบินต่ำ หนองกลับ
แผนที่และคำขวัญ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
ที่มา : จาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มีคำถามต้องการคำตอบที่บล๊อกครูบันเทิงค่ะ เรียนเชิญน่ะค่ะ..คอย คอยค่ะ..
สวัสดีครับคุณครูบันเทิงครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
เห็นภาพวิถีชีวิตชาวบ้าน อาจารย์พาย้อนอดีตได้อย่างน่าประทับใจค่ะ
มาเรียนว่าได้รับหนังสือแล้วค่ะ
มีดอกกล้วยไม้มาฝากด้วย เพิ่งวาดเสร็จได้วันสองวันนี้เองค่ะ
สวัสดีครับคุณณัฐรดาครับ
เจริญพรอาจารย์วิรัตน์คุณปีกแข็งบินต่ำ หนองกลับ ชาวหนองบัวและทุกท่าน
คำขวัญอำเภอหนองบัว
หลวงพ่อเดิมสร้างเมือง ลือเลื่องความสามัคคี
ประเพณีบวชนาคหมู่ หินสีชมพูคู่เขาพระ
เมืองพันสระนามกล่าวขาน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านมากมี
ข้าวสารดีมีชื่อ นามระบือคือหนองบัว
ผู้ประพันธ์คำขวัญอำเภอหนองบัว
อนุโมทนาขอบคุณ คุณปีกแข็งบินต่ำ หนองกลับ จาก(คห.๓)ที่ถามเรื่องผู้แต่งคำขวัญประจำอำเภอหนองบัวและอาจารย์วิรัตน์ที่ให้โอกาสอาตมาได้ตอบคำถามความรู้ข้อมูลชุมชนเรื่องนี้
ท่านผู้ประพันธ์คำขวัญดังกล่าวก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระนิภากรโสภณ(เจ้าคุณไกร ฐานิสฺสโร-ศรสุรินทร์) เจ้าอาวาสวัดหนองกลับ และเจ้าคณะอำเภอหนองบัวรูปปัจจุบัน ท่านได้ประพันธ์ไว้หลายปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ท่านดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูวาปีปทุมรักษ์
ท่านได้อธิบายให้ฟังว่า หลวงพ่อเดิมนั้นท่านไปที่ไหนก็จะสร้างสาธารณประโยชน์ไว้ที่นั่นทุกที่ กล่าวกันว่าท่านสร้างโบสถ์ในจังหวัดนครสวรรค์ยี่สิบกว่าหลังนี่นับเฉพาะโบสถ์อย่างเดียวหนา เสนาสนะอื่นๆนั้นมีมากมาย เช่น ศาลาการเปรียญนี่ก็หลายวัดมาก และเฉพาะที่วัดหนองกลับนี่ต้องถือว่าใหญ่สุดๆ ทั้งขนาดความใหญ่โตของศาลาและเสาไม้ขนาดใหญ่ที่โอบคนเดียวไม่รอบ หลวงพ่อเจ้าคุณไกรท่านก็ประมาณเอาว่าศาลาวัดหนองกลับนั้นคือเมืองหนองบัวนั่นเอง จึงได้ขึ้นต้นวรรคแรกว่าหลวงพ่อเดิมสร้างเมือง
วรรคที่สอง ลือเลื่องความสามัคคี ตอนที่หลวงพ่ออ๋อยนิมนต์หลวงพ่อเดิมมาเป็นประธานสร้างศาลาการเปรียญและอื่นๆ ท่านเห็นคนหนองบัวแล้วก็มีความประทับใจอย่างมากสิ่งที่ท่านประทับใจก็คือคนหนองบัวสามัคคีกันดีมากและเสียสละช่วยเหลืองานวัดทุกอย่างใครมีอะไรก็นำมาถวายวัด อีกทั้งผู้คนก็ทำงานเก่งเป็นช่างกันทุกคน ผู้หญิงก็มาช่วยกันทำครัวทำกับข้าวเป็นแรงงานฝ่ายกำลังบำรุงกันอย่างขยันขันแข็ง ท่านชื่นชมยกย่องคนหนองบัวว่าเป็นคนเสียสละเป็นผู้มีจิตสาธารณะเอาใจใส่และร่วมมือกันพัฒนาส่วนรวม
ประเพณีบวชนาคหมู่ เมื่อหลวงพ่อเดิมท่านนำพาชาวบ้านสร้างศาลา กุฏิ บูรณะโบสถ์เสร็จแล้ว ท่านเห็นว่าชาวหนองบัวมีความสามัคคี ก็เลยได้ร่วมกันกับหลวงพ่ออ๋อยจัดบวชนาคหมู่ขึ้น ซึ่งก็มีคนมาบวชกันเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นมาหลวงพ่ออ๋อยก็ได้ปฏิบัติสืบต่อประเพณีบวชนาคหมู่ที่หลวงพ่อเดิมเริ่มไว้ จนเรื่องนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของอำเภอหนองบัวจนกระทั่งปัจจุบัน
หินสีชมพูคู่เขาพระ เรื่องนี้เมื่อก่อนไม่มีผู้คนกล่าวถึง คนหนองบัวเองก็จะกล่าวเพียงว่าเขาพระมีหินสีแดงสวยงาม จนเมื่อพระครูวาปีปทุมรักษ์(สมณศักดิ์ในขณะนั้น)ได้มาพัฒนาวัดเขาพระที่สร้างโดยหลวงพ่ออ๋อย และพื้นที่ป่าบริเวณรอบๆเขาพระ เขาสูง ช่วงนั้นป่าไม้เหลือไม่มากแล้ว เพราะมีผู้ชาวบ้านมาจับจองทำไร่กันจำนวนมาก ท่านเลยกันแนวพื้นที่ใกล้เขาพระไว้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ มีบริษัทจะมาสัมปทานหินสีชมพูเขาพระ ท่านได้ต่อสู้เรื่องนี้จนเขาพระไม่ถูกทำลาย และปัจจุบันป่าเขาพระ-เขาสูงที่เป็นป่าต้นน้ำลำธารได้เป็นที่ตั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในลักษณะโครงการอนุรักษ์ต้นน้ำลำธารนั่นก็คือ
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บริเวณเทือกเขาพระ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
เมืองพันสระนามกล่าวขาน เมืองหนองบัวนั้นทุกหมู่บ้านทุกวัด และโรงเรียนมีสระน้ำประจำทุกแห่งเพราะหนองบัวกันดารขาดแหล่งน้ำบริโภคใช้สอย จึงต้องขุดสระเก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้ง เช่น สระหลวงพ่ออ๋อย วัดหนองกลับ สระเกาะลอย สระหนองกลับ สระกำนันเทอญ สระกำนันแหวน ฯลฯ
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านมากมี อันนี้เป็นของโครงการของท่านเจ้าคุณไกรโดยตรงเลย จัดเอง ทำเอง ท่านเก็บสะสมของเก่า ของโบราณ ทั้งขอซื้อจากชาวบ้าน และมีผู้บริจาคให้ท่าน เครื่องมือเกษตร และอื่นๆ จำนวนมากเพราะเห็นว่าต่อไปจะสูญหายไปกับกาลเวลาด้วยไม่มีใครเก็บรักษา ท่านจึงสร้างพิพิธภัณฑ์เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ที่วัดเพื่อให้ลูกหลานภายหลังได้ศึกษาเรียนรู้และเห็นคุณค่ามรดกภูมิปัญญาของไทยของชาวบ้าน
ข้าวสารดีมีชื่อ นามระบือคือหนองบัว
พื้นที่ส่วนใหญ่ของหนองบัวเป็นพื้นที่ราบเหมาะแก่การทำนาข้าว และหนองบัวก็เป็นแหล่งที่มีผลผลิตทางการเกษตรเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะข้าว เรื่องข้าวสารดีมีคุณภาพจึงเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป
ครอบครัวผมก็อพยพมาจากชุมแสง เตี่ยกับแม่มาจากเมืองจีนก็มาอาศัยอยู่ที่ชุมแสง เตี่ยมาอาศัยและช่วยงานอยู่กับอาเหล่าเจ็ก (ถ้าเป็นคนไทยต้องเรียกว่าปู่ ซึ่งเป็นอาของพ่อ)ตั้งแต่ยังเด็ก (อายุประมาณสิบกว่าขวบ) ส่วนแม่ก็มาเมืองไทยตั้งแต่อายุประมาณ 10ขวบ ก็มาอาศัยอยู่กับอาเหล่ากู๋ (ตา ซึ่งเป็นน้าชายของแม่) จนแต่งงานกันและมีลูก คือพี่คนโตๆผม หลายคนก็เกิดที่ชุมแสง ส่วนทีเหลือรวมทั้งผมด้วยมาเกิดที่หนองบัว หลังจากที่บ้านได้ย้ายมาหนองบัว เลยมีญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ที่ชุมแสงหลายคน ชาวบ้านร้านตลาดที่หนองบัวส่วนใหญ่ก็อพยพมาจากชุมแสง หนองบัวกับชุมแสงจึงใกล้ชิดกันมาก เพราะเมือก่อนหนองบัวมีทางออกสู่โลกภายนอกแค่ทางเดียวคือชุมแสง ส่วนอีกทางคือท่าตะโกดูจะไกลและไม่สะดวกเท่า คนชุมแสงเมื่อจะขยับขยายที่ทางทำกินก็จะมองหนองบัวเป็นอันดับแรกๆ
ตอนเล็กๆ เตี่ยจะต้องไปทำธุระที่ชุมแสงอยู่บ่อยๆ เท่าที่ผมจำความได้ ก็จะมีรถเมล์ของฮั้งคีมหรือเปล่าหนอที่วิ่งระหว่างหนองบัว-ชุมแสงแล้ว แต่ก็วิ่งได้เฉพาะหน้าแล้ง หน้าฝนหมดสิทธิ์วิ่ง ไปชุมแสงแต่เช้ามืด กลับมาก็มืดค่ำ เตี่ยมักจะมีฝักบัว รากบัว ขนมจีบซาลาเปามาฝากพวกเราด้วย จำได้เคยขึ้นรถเมล์ไปชุมแสง เมารถอ้วกแตกอ้วกแตน ไปเยี่ยมบ้านอาเหล่าเจ็ก ซึ่งมี โรงมวนยาสูบและสนามแบดมินตันอยู่ทางใต้ และมีร้านขายทองที่อยู่ในตลาดริมแม่น้ำ ผมชอบบรรยากาศริมแม่น้ำมาก นั่งดูเรือนแพ ดูเรือ ไม่รู้เบื่อ ก็ที่หนองบัวมันไม่มีให้ดูนี่
พอโตขึ้นมาพอที่จะเดินทางไปคนเดียวได้ (ประมาณป.6-7) วันหยุดซึ่งส่วนใหญ่เป็นวันเสาร์ก็จะนั่งรถเมล์ไปซื้อของที่ชุมแสงมาขายอยู่บ่อยๆ นั่งรถนับเสาโทรเลขเพลินเลย ที่เสาโทรเลขมันจะมีตัวเลขบอกระยะทางที่พอจะให้เรารู้ว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว บ่อยครั้งที่คนโดยสารแน่นมาก(ทั้งคนทั้งสินค้า)โดยเฉพาะขากลับมาหนองบัว ต้องขึ้นไปนั่งบน หลังคา ได้นั่งมองวิวท้องนาพาโนรามา360องศาระหว่างทาง แต่ก็ต้องคอยก้มหลบกิ่งไม้ข้างทางด้วย ดีว่ารถเมล์วิ่งไม่เร็วนัก ชั่วโมงกว่าๆกับระยะทาง 30 กม.(ปัจจุบันถึงถนนหนทางดีกว่าสมัยก่อนเยอะ แต่รถเมล์ก็ยังใช้เวลาเกือบชั่งโมงอยู่ดี) พอใกล้ๆชุมแสง แถวๆหัวกระทุ่ม จะเห็นนกยาง นกแซงแซว มีสะพานข้ามคลองยาวๆ 3- 4 สะพานและชาวบ้านยืนทอดแหอยู่ข้างทาง แถวชุมแสงนี่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์จริงๆ มีชานเทแร่ยิปซั่มจากหนองบัว ที่มาพักไว้เพื่อขนถ่ายขึ้นรถไฟไปยังปลายทางอีกที นอกจากนี้ก็มีแหล่งชุมชนคนลิเกของชุมแสงก็จะอยู่แถวๆนี้
เมื่อก่อนไปชุมแสงนอกจากไปซื้อของมาขายแล้ว ยังต้องไปธ.ออมสิน ฝากเงิน50- 100บาท แล้วก็จะได้การ์ดสวยๆมาสะสม บางโอกาสก็จะได้แจกกระปุกออมสิน บรรยากาศแบบนี้ไม่น่าจะมีแล้ว ที่เด็กๆจะมาที่ธนาคารเยอะมาก
ลงจากรถเมล์ก็เดินข้ามรางรถไฟทะลุสถานีรถไฟก็เป็นตลาดชุมแสงแล้ว เดินเข้าไปอีก 100เมตรก็จะเจอแม่น้ำน่านแล้ว เมื่อก่อนจะมีห้องแถวร้านค้าขนานไปกับแม่น้ำหันหลังบ้านให้แม่น้ำ การค้าขายในช่วงนั้นคึกคักมากผู้คนจอแจ นอกจากคนหนองบัวแล้วก็ยังมี มาจากบางมูลนากอีก ผิดกับปัจจุบันคนชุมแสงมักจะบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆว่าค้าขายไม่ดี เงียบวังเวงสู้หนองบัวไม่ได้ เพราะการคมนาคมทางน้ำและ ทางรถไฟไม่ได้รับความนิยม อีกอย่างคือการขยายตัวของชุมแสงไปได้เฉพาะทางด้านข้างเท่านั้น(เหนือ-ใต้) เนื่องจากโดนบล็อคไว้ด้วยรางรถไฟและแม่น้ำ
สิ่งที่ชุมแสงมีแต่หนองบัวไม่มีก็คือแม่น้ำกับทางรถไฟ(เมื่อก่อนมีธนาคารอีกอย่างที่หนองบัวยังไม่มี)
สิ่งที่หนองบัวมีแต่ชุมแสงไม่มี (ไม่แน่ใจ)น่าจะเป็นภูเขารึเปล่า
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแลครับ
สวัสดีครับฉิกครับ