ฟ้าหงสารั่ว เทน้ำฟ้าลงมาสู่ดินตั้งแต่กลางดึกของคืนวันจันทร์ ต่อเนื่องมาจนถึงเช้าวันอังคาร แล้วก็มากระหน่ำราวกับแถนข่างฟ้าในตอนสายๆ
ที่แค้มป์ทำงานมีพนักงานฝ่ายต่างๆหลายระดับหลายแผนกจำนวนรวมๆได้ราวสี่สิบชีวิต ทั้งหมดพักอยู่ในตัวเมืองหงสา มีรถยนตร์ขนส่งพนักงานร่วมสิบคันทั้งรถประจำตำแหน่ง ประจำฝ่าย และรถเช่ารับส่งพนักงานรายวัน ท้าวทองจันผู้ดูแลรถประจำคณะผมมาแจ้งว่าขอเอารถกลับเข้าเมืองไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตั้งแต่เก้าโมง
๑๐ โมงเช้า พนักงานที่ทำงานประจำโต๊ะต่างปฏิบัติงานกันตามปกติ มีหนึ่งกองประชุมเรื่องงานก่อสร้าง ส่วนพนักงานภาคสนามต่างนั่งๆนอนๆอยู่ในร่มย้อนว่าฝนตกเฮดเวียกบ่ได้ เริ่มมีการชี้ชวนกันดูน้ำล้นข้ามถนนที่มองเห็นไกลๆ
มีรถพนักงานท่านหนึ่งขึ้นมาจากในเมือง พร้อมข่าวสถานการณ์น้ำไหลบ่าล้นถนนหลายจุด หัวหน้าฝ่ายเซฟตี้สั่งให้ทุกคนถอนกำลังอพยพกลับทันที
ทุกคนรีบปิดคอมฯเก็บข้าวของเข้าลิ้นชัก “อ้าวรถพวกเราลงไปเข้าอู่ยังบ่กลับ ยุ่งละสิพรรคพวก” จัดการโทรตามช่างให้รีบประกอบรถคืน ยังไงก็อีกอย่างเร็วที่สุดกว่าหนึ่งชั่วโมงกว่ารถจะเดินทางมาถึง ไม่ได้การแน่ๆ
จัดการฝากฝังทีมงานท่านอาวุโสและยัดเยียดน้องๆไปกับรถคันอื่นได้สามสี่คน หันรีหันขวางว่าจะไปกับรถคอกหมูรับส่งคนงาน พอดีได้ยินอ้ายสีเวียง(เจ้าของรถเช่าประจำฝ่ายโยกย้ายจัดสรร)เรียกขึ้นรถ อ้ายบอกว่า “รถว่างแล้วสาวๆที่ติดรถมาเมื่อเช้าขึ้นรถเบอร์เจ็ดกลับแล้ว” จัดการพาตัวเองกับน้องอีกสี่ชีวิตขึ้นรถอ้ายเวียงด้วยความลิงโลด รถอ้ายเวียงเป็นรถรุ่นเก่ากว่ารถคันอื่นๆที่ใช้ในแคมป์คนขับก็สูงวัยกว่า แต่ถึงจะเก่าจะอาวุโสก็มีน้ำใจล้นเหลือ
กลับกลายเป็นว่ารถเราได้ออกเป็นกลุ่มที่สอง รถแต่ละคันวิ่งเกาะกลุ่มตามกันออกจากแค้มป์เจอกับจุดน้ำไหลบ่าถนนจุดแรกหลังจากผ่านป้อมตำรวจเล็กน้อย ผ่านได้สบาย รถวิ่งไปทางสันเขื่อนผ่านทางแยกขวาทางไปบ้านนาทรายคำ เห็นน้ำพัดถนนพังไปครึ่งทางเป็นอันว่าทางเลี้ยวซ้ายหมดสิทธิ์ผ่าน พากันวิ่งตรงไปทางบ้านหาน พอถึงหลุบร่องสวนอ้อยเห็นน้ำหลากเต็มทางรถอ้ายไซซะนะคันนำลองวิ่งไปชิมลางสักห้าเมตรแล้วรีบถอยกลับส่วนรถอ้ายเวียงจอดอยู่บนเนินตั้งแต่แรกโดยไม่มีความคิดที่จะลองเสี่ยง รถท้าวคำคูนเบอร์เจ็ดวิ่งผ่านรถของพวกเราไปอย่างมั่นใจ เร่งเครื่องวิ่งผ่านไปเกือบพ้นแต่สุดท้ายก็ไม่พ้น ดับนิ่งสนิทอยู่ในน้ำนั่นเอง ความโกลาหลย่อยๆเกิดขึ้นเมื่อรถอีกสิบกว่าคันมาหยุดออกันดูชะตากรรมของเจ้า ๑๕๐๗
ผ่านไปครู่ใหญ่มีคนนึกขึ้นได้ว่ายังมีทางกลับบ้านอีกหนึ่งเส้นทางคือ ย้อนกลับไปวิ่งข้ามสันเขื่อนขึ้นไปทางลำลองแล้วไปลงที่บ้านปากห้วยหลวง รถอ้ายเวียงต้องตั้งลำตั้งหลักนานพอควรจึงจะผ่านได้ แต่รถของพวกเราก็ต้องไปกระจุกกันอยู่ที่ปากห้วยหลวงอีกครั้งเนื่องจากน้ำห้วยหลวงบ่าไหลท่วมทางท่วมทุ่ง จนกลายเป็นผืนน้ำเดียวกันแยกไม่ออกว่าถนนอยู่ตรงไหนนาอยู่ที่ใด อ้ายเวียงถอดใจบอกว่าอาจารย์น้องจะนอนรออยู่นี่แหละน้ำลดแล้วค่อยไป ผมเองห่อข้าวอาหารเจใส่ย่ามติดตัวเป็นประจำอยู่แล้วจึงอาสาอยู่เป็นเพื่อนอ้ายเวียง ในขณะที่หน่วยกล้า(ตาย)บางคนถอดรองเท้าพับขากลาง เดินลุยน้ำคลำหาหนทางไปก่อน แล้วก็มีรถคันกล้านำหน้าขบวนค่อยๆคลานผ่านทางที่อยู่ใต้น้ำไปได้อย่างปลอดภัยทุกคัน ยกเว้นคันของอ้ายเวียงที่สมัครใจจะรอจนน้ำลด (คุยกันวันต่อมาทราบว่ารออีกไม่ถึงชั่วโมงน้ำก็ลดจากผิวถนน) ส่วนผมเองตัดสินใจทอดทิ้งอ้ายเวียงเพราะถูกเรียกขึ้นรถคันสุดท้ายกลับถึงหงสาอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
เรื่องนี่ เล่าให้ฟังเฉยๆ แต่ก็บันทึกไว้เป็นบทเรียนในหน่วยงาน หากจะมีขึ้นตอนการอพยพฉุกเฉินให้เป็นระเบียบขั้นตอนมากกว่านี้ รวมถึงต้องมีการวางเส้นทางถอนตัวให้ชัดเจน และมีการจัดคนขึ้นรถให้เป็นระบบระเบียบ แผนกเซฟตี้เขาคงจะปรับปรุงกันต่อไป
เป็นเรื่องเล่าวันระทึกจากหงสา
สวัสดีค่ะ
ดีใจด้วยนะคะที่กลับถึงบ้านด้วยความปลอดภัย ไร้รอยขีดข่วน ส่วนอ้ายไซซะนะ...(ชื่อเก๋) ทิ้งเขาไว้หรือเปล่าน้อง
ตอนแรกที่ป้าคิมอ่านก็น่ากลัว แบบลุ้นระทึก จบลงด้วยแบบหักมุกฮา ๆ ๆ ๆ เสียนี่
ที่บ้านเราทางเหนือ ๆ พิษณุโลกขึ้นไปน้ำกำลังท่วมเหมือนกัน
สวัสดีครับท่านเปลี่ยน ได้ไปกระบี่รอบสองเมื่อวันที่ 17 นี้ แต่ไม่ได้ลงไปเกาะ
ไปร่วมทีมงานรวมกันเฉพาะกิจ ถอดบทเรียน ของกรมอนามัยครับ
ท่านสบายดีน่ะครับ