ผมรับราชการเป็นครูมานาน พบสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระดับโรงเรียนทั้งระดับประถมฯและมัธยมฯมากมาย หลายอย่างผู้ใหญ่เราทำให้เด็กเสียคน โดยเฉพาะการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็ก ผู้ใหญทุกคนมีส่วนเป็นอย่างมาก สังคมบางที่ก็สอนเด็กให้เป็นคนไม่ดี เนื่องจากผมมีชีวิตช่วงหนึ่งในเมืองขอนแก่น ที่เขาเรียกว่าชุมชนคน"สลัม" แถวๆทางรถไฟ มีเพื่อนมากมายในวัยเด็กที่อยู่ในสลัมเดียวกัน แต่ละคนจะเรียกว่า ระดับสุดยอดของความเกเร มีกลุ่มต่างๆเกิดขึ้น ผมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น การเอาตัวรอดของแต่ละคน การฉกชิง วิ่งราว เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมโชคดีกว่าเพื่อนเพราะพ่อให้ คาถาเจ็ดคำ ให้ผมท่องบ่นอยู่เป็นประจำ(นัยว่าเป็นคาถาเรียนหนังสือเก่งและแคล้วคลาด) แต่มีข้อห้าม เมื่อรับคาถานี้แล้ว ห้ามลักทรัพย์ ของใครเด็ดขาด เพราะคาถาจะเสื่อมใช้ไม่ได้ผล ผมก็ทำตามและได้ผลดี ผมมีความเชื่อในคาถานี้มาก(ปัจจุบันก็ยังใช้คาถานี้อยู่เพราะเป็นสมบัติของพ่อที่ให้มา) การสั่งสอนของผู้ใหญ่ก็มีส่วนทำให้เด็กดีได้ พ่อแม่บางคนรักลูกไม่ถูกทาง เช่น เมื่อลูกไปชกต่อยกับใครมาก ก็สอนลูกว่า " มึงไม่เก่งเลย ชกตอยแค่นี้ก็สู้เขาไม่ได้ " แทนที่จะสอนว่า " อย่าไปชกต่อยกัน เพราะมันเป็นสิ่งไม่ดี เจ็บกันทั้งสองฝ่าย ทีหลังอย่าทำนะ " คำพูดบางครั้ง ผู้ใหญ่ก็ลืมคิด เพราะเอาอารมณ์เป็นใหญ่ ผมเคยสอนนักเรียนมา เรียกว่าเคยทำงานในฝ่ายปกครองมาหลายปี ตีเด็กด้วยไม้เรียวมาก็มากมาย คนที่เราตีนั่นเองที่เมื่อเขาเรียนจบไป เขากลับมาหาเราและมักซื้ออะไรมาฝาก ก็ดีใจที่เขายังจำเราได้ผมยังจำคำโบราณที่บอกว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ดี ได้เป็นอย่างดี คำๆนี้ ยังสามารถนำมาใช้ได้กับเด็กไทยเราได้ครับ แต่ต้องมีเหตุผลนะครับ อย่าตีมั่วๆ เดี๋ยวจะเป็นตราบาปสำหรับเด็กอีก(เพราะพ่อแม่บางคนไม่เคยตีเด็ก) การหักไม้เรียวก็มีผลเป็นอย่างมากในปัจจุบัน มีผลอย่างไร เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง.
....อ่านต่อครับ....
วันที่ ผอ.พูดหน้าเสาธง เรื่องระเบียบวินัย การเป็นนักเรียนที่ดี การเป็นคนดีของสังคม และพูดเรื่องนโยบายของ สพฐ. มีประโยคหนึ่ง ที่ทำให้เกิดเสียงปรบมือดังมาก พร้อมกับเสียงเฮ ของนักเรียนบางคน (โดยเฉพาะนักเรียนที่ไม่ค่อยอยู่ในระเบียบ) คำพูดนั้นคือ “ ต่อไปนี้ โรงเรียนของเรา จะไม่มีการใช้ไม้เรียวอีก เพราะเป็นนโยบายของ สพฐ.” ครูที่ยืนฟังอยู่หน้าเสาธง แสดงอาการไม่เหมือนกัน เช่น สงสัย หงุดหงิด ยิ้ม ปรบมือ รวมทั้ง เฉยๆ ผมคนหนึ่งล่ะ ที่แสดงอาการเฉยๆ และครุ่นคิด อะไรหนอจะเกิดขึ้น
ในอนาคต เพราะกว่าที่เราจะพัฒนาตนเองมาถึงวันนี้ เราผ่านการถูกตีมาไม่รู้เท่าไหร่ (สมัยเป็นนักเรียนมัธยมฯ) เราอยู่ในกรอบระเบียบวินัยของโรงเรียนก็จริงอยู่ แต่บางครั้งก็เผลอลืมไปว่าตนเองเป็นนักเรียนไม้เรียวก็ทำให้เราเข้ากรอบได้ นี่คือ ความคิดในขณะนั้น.
และแล้ว...วันที่เกิดเรื่อง ก็มาถึงจนได้ ครูบรรณรักษ์ห้องสมุดโรงเรียนมาแจ้งกับฝ่ายปกครอง(ปัจจุบันเรียกว่าระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน)ว่าเงินที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะในห้องสมุดหายไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งมากพอสมควร ครูฝ่ายปกครองซึ่งรวมทั้งผมด้วย ก็เดือดร้อน ต้องแก้ปัญหา โดยหาวิธีการแก้ไข พร้อมกับช่วยเหลือครูท่านนั้นโดยออกเงินช่วยเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนซึ่งครูทุกท่านก็ยินดีช่วย ผมวางแผนกับเพื่อนครูอยู่หลายวัน ว่า จะจับขโมยได้อย่างไร ?
จนมาวันหนึ่ง โชคก็เข้าข้าง เมื่อเราใช้นักเรียน ม. 1 เป็นนกต่อ โดยแกล้งเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุด และคอยสังเกตนักเรียนที่เข้า ออกห้องสมุด และให้ระวังโต๊ะครู เพราะได้วางเงินไว้เพื่อล่อเจ้าหัวขโมย เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่คาดคิด คือ มีนักเรียน ม. 3 (นักเรียนคนนี้ย้ายเข้ามาใหม่ คิดตามอายุเขาควรเรียน ม. 5)คนหนึ่งเข้ามาแกล้งอ่านหนังสือ และไปเปิดลิ้นชักโต๊ะครูบรรณรักษ์ พร้อมกับล้วงเอาเงินไปอย่างหน้าตาเฉย นักเรียนคนนี้ มีประวัติดีทุกอย่าง หน้าตาท่าทางดี เรียนเก่ง แถมยังเป็นลูกคนรวยเสียด้วย ไม่เคยมีประวัติเสีย(ข้อมูลจากโรงเรียนเดิม) เดินออกประตูห้องสมุด ยิ้มร่าท่าทางมีความสุขมากๆ เขาไปเที่ยวคุยกับเพื่อนๆ ทำให้ความลับแตกและเพื่อนๆเตือนเขาว่า “ ไม่กลัวครูตีเอาหรือ ?” เขาบอกว่า “ แม้ครูจับได้ก็ไม่กล้าตีเขา เพราะโรงเรียนเราไม่ใช้ไม้เรียวแล้ว ”
คำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงอะไร ? ผมไม่อาจวิเคราะห์ได้ในวันนั้น ผมและเพื่อนครูในฝ่ายปกครองรู้เรื่องเป็นอย่างดี(เพราะวางแผนจับขโมยไว้แล้ว) เมื่อนำมาสอบสวนในห้องปกครอง ครั้งแรกเขาไม่รับสารภาพและพยายามปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา(พอๆกับผู้ร้ายกับตำรวจ)การสอบสวนเป็นไปตามกระบวนการ คือมีหลักฐานต่างๆครบถ้วน( เงินที่หายไป เราจดหมายเลขไว้ ) สุดท้ายยอมจำนนด้วยหลักฐาน ครูฝ่ายปกครองจึงกล่าวว่า
" เมื่อเธอทำผิด ครูจำเป็นต้องลงโทษ ด้วยวิธีเดิม คือ ตี "เขาไม่ยอม และบอกว่า ก็ ผอ. ประกาศหน้าเสาธงแล้ว ว่า โรงเรียนเราเลิกใช้ไม้เรียว และทำท่าทางเหมือนกับนักกฎหมาย ครูฝ่ายปกครองบอกว่า อย่างนั้นก็ ลาออกไป เพราะโรงเรียน ไม่ต้องการคนมาทำให้เสียชื่อเสียง เขาทำท่าว่าจะไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ยอมจนได้ เสียงไม้เรียวดังขึ้นสามครั้ง(ตีแรงพอสมควรจนมือชา) สักครู่ นักเรียนคนที่ถูกลงโทษเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าแสดงความเจ็บปวดที่ก้น
ไม่นานนัก ครูบรรณรักษ์ คนที่ถูกขโมยเงิน เอายาหม่องมาให้เขาทาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่สำหรับครูฝ่ายปกครองปฏิบัติหน้าที่แล้วก็แล้วไป สำหรับผม ผมเจ็บปวดหัวใจเกินกว่าที่จะเอ่ยคำ เพราะเราเคยโดนมาแล้ว แต่โดยหน้าที่เราต้องทำ เพื่อให้เขามีพฤติกรรมที่ดีขึ้น
รุ่งเช้า ผู้ปกครองและชาวบ้านประมาณ 7 คน เข้ามาพบ ผอ. และแจ้งความประสงค์ให้ย้ายครู คนที่ตีเด็กเกินกว่าเหตุ ทำให้ ผอ. ลำบากใจในการทำหน้าที่ประสานระหว่างครูและผู้ปกครอง ผอ. เรียกผมและครูฝ่ายปกครองเข้าไปสอบถามความจริงและเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังด้วยความจริง ผอ.เข้าใจ แต่... ผู้ปกครองไม่เข้าใจ จะให้ย้ายอย่างเดียว ผมเข้ามาไหว้ผู้ปกครองของนักเรียนที่ตีไปเมื่อวาน และกล่าวขอโทษที่ตีแรงไปหน่อย เขาทำท่าไม่พอใจ และบอกกับเขาว่า ผมจะขอย้ายตัวเองวันพรุ่งนี้ เขารู้สึกดีขึ้นและกลับบ้านไป
ในห้อง ผอ. ผมพอใจในหลักจิตวิทยาที่ ท่านคุยกับผมและครูฝ่ายปกครอง “ ที่ผมประกาศหน้าเสาธงวันนั้นก็เพราะทำตามนโยบายเบื้องบนที่ได้ประชุมมา....ทางการเขาสั่งมาว่าๆ ให้....(เหมือนเพลงผู้ใหญ่ลี)
วันนั้น ผมไม่เป็นอันสอนนักเรียน และขอลากลับมาบ้านครึ่งวัน ผมบันทึกขอย้ายตัวเองประมาณ 1 หน้า พร้อมที่จะส่งในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันใหม่(ที่ไม่ค่อยสดใสนัก)ผมมาโรงเรียนแต่เช้า พร้อมบันทึกขอย้ายตัวเอง แต่ที่หน้าโรงเรียนนั่นเล่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น มีชาวบ้านจำนวนเกือบ 50 คนมานั่งรอ. พลางคิดในใจว่า ไม่ต้องมาไล่ดอก ผมพร้อมย้ายวันนี้แน่นอน พอผมจอดรถเท่านั้น ผู้ปกครองท่านหนึ่งเข้ามาถามผมว่า อาจารย์จะย้ายไปโรงเรียนไหน ผมไม่บอก แต่ยื่นบันทึกให้อ่าน เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจ และบอกกับผมว่า " ถ้าอาจารย์ย้าย ผมจะให้ลูกผมย้ายออกจากโรงเรียนนี้ " ผมงงไปหมด นี่อะไรกัน ผมบอกกับผู้ปกครองทั้งหลายว่า ให้ รอ ท่าน ผอ. ก่อน ไม่ต้องใจร้อน
เกือบ แปดนาฬิกา ผอ. มาถึงโรงเรียน และตัวแทนชาวบ้านได้เข้าพบ ผอ.ในห้องโดยมีผมและครูฝ่ายปกครองเข้าไปฟังด้วย คุยกันอยู่นาน จึงได้รู้ว่า เขามาร้องเรียนไม่ให้ครูที่ตีเด็กย้าย เป็นอันว่า ผมและครูฝ่ายปกครองทุกท่านไม่ได้ย้ายและ 2 วันต่อมานักเรียนคนที่ถูกตีก็ขอย้ายตัวเองไปโรงเรียนอื่น (ส่งต่อ) ผมไม่ได้ติดตามข่าวสารอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย แต่ส่วนลึกก็คือ เราตีเขาแรงไปหรือ ? เราผิดหรือที่ตีเด็ก ? เราทำอะไรเกินเลยไปหรือเปล่า ?
....แปดปีผ่าน... เราก็ยังไม่ลืม จนกระทั่งวันนี้.....มาเป็นศึกษานิเทศก์ที่ สพป. ขก. 5 มีโอกาสพบเพื่อนร่วมรุ่นเขาและถามสาระทุกข์สุกดิบกันพอสมควร และเมื่อสอบถามว่า นาย......อยู่ไหน ? ทำอะไร ? จึงได้ทราบว่า..เขาติดคุกอยู่ที่โคราช......... โอ้ ! นี่อะไรกัน ........เขาย้ายไปโรงเรียนที่ไม่ใช้ไม้เรียว ..เป็นไปได้ถึงเพียงนี้หรือ ?.......... นี่จึงเป็นวลีที่ว่า.... "การศึกษาสร้างคนให้เป็นคน แต่...คนเสียคนเพราะการศึกษาก็มาก " เอาเป็นว่าขอจบเรื่อง....แค่นี่ครับ....
**** เรื่องราวที่เขียนนี้ ไม่มีชื่อคน ไม่มีชื่อโรงเรียน มีเฉพาะเหตุการณ์ คิดว่า..คงไม่ผิดวินัยนะครับ เข็ดแล้ว ที่ผ่านมาเกือบถูกสอบทางวินัย.....เฮ้อ...!
ศน. เฉลิมชัย
ขอแสดงความคิดเห็นค่ะ การหักไม้เรียว ก็ไม่ดีไปเสียหมด เด็กก็ต้องลงทษบ้าง แต่ต้องมีเหตุผล เหมือนที่ ศน.พูดไว้ข้างต้น
เหรียญมีสองด้านจึงเป็นเหรียญ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในสังคมไหน ๆ ก็มักจะมีทั้งด้านที่ถูกใจเราและไม่ถูกใจเราเสมอ หากปรับเปลี่ยนใช้ในแง่มุมที่เหมาะสมก็จะมีประโยชน์ในการทำงานได้เสมอ ความเหมาะสม หรือ สมควร หรือการผ่อนปรน ช่วยได้เสมอครับ
ขอบคุณทุกความเห็นครับ