อย่าใช้ 'ความยากจน' เป็นแค่ วาทกรรมเพื่อประโยชน์แห่งตน


ขอย้ำว่าสังคมไทยไม่ขาดแคลนความรู้ข้อมูล ที่ขาดแคลนจริงๆ คือ ความกล้าหาญทางการเมือง ที่จะลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

ไม่มีใครปฏิเสธว่า "ความยากจน" และ "ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง" ในสังคมไทย เป็นปัญหาหนักหนาสาหัส ที่จะต้องแก้ไข

          นักการเมือง นักวิชาการ และ "นัก" เกือบทุก "นัก" ในแวดวงของสังคมไทย ต่างได้ตอกย้ำปัญหาของ "ช่องว่าง" ระหว่างความร่ำรวยกับความยากจนของคนกรุงกับชนบทของไทย

          และแน่นอนว่า เสียงเรียกร้องของประชาชนบางกลุ่ม ข้อหนึ่งที่มีน้ำหนักที่คนทั้งประเทศจะต้องรับฟัง คือ "ความเหลื่อมล้ำ" ของสังคมไทยนี่แหละ

          ไม่มีสำนักวิชาการไหน ที่ไม่ยกเรื่อง "ความไม่เท่าเทียมของสังคม" เป็นหัวข้อสำคัญของการวิจัย

          เมื่อสองปีก่อน ทีดีอาร์ไอ หรือ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ก็ยกเอาประเด็น "ความเหลื่อมล้ำรายได้" เป็นหัวข้อสัมมนาประจำปี และสถาบันพระปกเกล้าฯ ก็ประกาศจุดยืนหัวความยากจน เป็นหัวข้อสำคัญของกิจการวิชาการอย่างโดดเด่นยิ่ง

          หลายคนคงจะตระหนักว่าความจริงคนไทย ก็น่าจะรู้แล้วว่าเรื่องที่จะต้องเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญยิ่งสำหรับสังคมไทย จะต้องเป็นเรื่องความยากจน

          จะอ้างไม่ได้ว่าประเทศอื่น ก็มีความเหลื่อมล้ำเรื่องรายได้ และสังคมอื่นก็หาใช่จะไม่มีปัญหานี้แต่ประการใด

                   ใครไม่ยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเป็นประเด็น ที่ต้องผลักดันก็จะกลายเป็นคนล้าสมัย และ "ไม่เห็นใจคนรากหญ้า" ขึ้นมากะทันหัน

          แต่ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่าสังคมไทยไม่ได้ขาดแคลนข้อมูล และการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขความยากจนเลย

          ทุกสถาบันวิชาการ ทุกหน่วยราชการที่เกี่ยวกับการพัฒนา และทุกนักการเมืองที่มีทีมงานวิจัยจะบอกคุณได้ว่าพวกเขามี "ข้อมูล" และ "ข้อเสนอ" การแก้ปัญหาความยากจน และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน อย่างครบถ้วนกระบวนความ

          ...ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนความรู้ และความเห็นเกี่ยวกับเรื่องความจน

          ที่ขาดแคลนจริงๆ คือ ความกล้าหาญทางการเมือง ที่จะลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

          นักการเมืองได้อำนาจหลังจากได้เสียงคนรากหญ้า ด้วยมาตรการประชานิยมแล้ว ก็ไม่กล้าที่จะเก็บภาษีจากคนรวยและคนมั่งมี

          เพราะนักการเมืองนั่นเอง คือ คนมั่งมีเสียเอง และไม่กล้าออกกฎหมายที่จะกระทบผลประโยชน์ของตน

                เชื่อว่าคนไทยที่มีเหตุมีผล และต้องการให้ประเทศชาติมีความเสมอภาค และเท่าเทียมกันนั้นมีมากพอ ที่จะฟังข้อเสนอและแนวคิดของทุกฝ่าย เพื่อจะแก้ปัญหาความยากจน

          เพียงขอให้แน่ใจว่าเสียงดังๆ โหวกเหวกที่เราได้ยินเสมือนหนึ่งยืนอยู่ข้างคนยากคนจนนั้นไม่ใช่เป็นแค่วาทกรรม เพื่อเป็นข้ออ้างในการแก่งแย่งอำนาจทางการเมือง เพื่อหาเสียงให้พวกตนได้รับเลือกตั้งมา เพื่อจะกดขี่คนจนและใช้คำว่า "คนยากไร้" เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเท่านั้น

          ขอย้ำว่าสังคมไทยไม่ขาดแคลนความรู้ข้อมูลและการวิจัย ว่าด้วยการแก้ปัญหาความยากไร้

          ที่ขาดอย่างมากๆ คือ ความกล้าหาญทางการเมืองและคนจริงที่ทำจริงเท่านั้น

          อ่านแล้วมีความคิดเห็นกันอย่างไร  ติ ชม กันได้นะคะ  พบกันในบันทึกต่อไป 

                                          จาก  จีราพัชร ...  

คำสำคัญ (Tags): #ศรีสะเกษ 7
หมายเลขบันทึก: 422311เขียนเมื่อ 24 มกราคม 2011 19:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 18:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ดิฉันเชื่อว่า"ธรรมาธิปไตย" เท่านั้น..ที่จะช่วยปัญหา "ความยากจน" ได้

ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมักจะห่างกัน ฐานจะเป็นคนจนให้คนรวยเหยียบขึ้นไปสู่ที่สูงครับ

สวัสดีค่ะ ผอ.พรชัย คุณกุลมาตา

ค่ะ ฐานบ้านเราก็คือคนจนนั่นแหละค่ะ ขอบคุณค่ะที่เข้าเยี่ยมชม

มีคนเพียงสองกลุ่มเท่านั้นที่ขาดความกล้าหาญทางการเมือง

1. คนดี มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ไม่กล้าเข้ามาสู่ระบบการเมือง

2. ประชาชน ขาดความกล้าหาญที่จะเลือกคนในข้อ 1.

ส่วนนักการเมืองปัจจุบันคงไม่ใช่หรอกครับ เพราะพวกเขา"กล้า"แม้กระทั่งการทรยศต่อประชาชนที่เลือกเขามา

เรื่องอื่นไม่ว่าจะถูกต้อง ไม่ถูกต้อง พวกเขาก็คงกล้าทำได้ทุกเรื่องครับ

ขอแสดงความชื่นชมในการเขียนเรื่องราวครับ....เขียนได้ดี  เริ่มฉายแววเป็นนักวิชาการ+นักการเมือง

สวัสดีค่ะ  ศน.เฉลิมชัย  สบายดีไหมคะ  ที่นี่อยู่ติดเขาพระวิหารค่ะ  กลัวปืนไม่เท่าไหร่  กลัวประเทศเสียดินแดน  และให้คนบางกลุ่มที่คอยแต่จะทำสงคราม  มาอยู่บ้านเราค่ะ  ทำให้บ้านเมืองต้องวุ่นวายไปอีก

ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบันทึกนี้ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท