หลังจากที่ต้องประสบปัญหาการขาดแคลนทั้ง “แผ่นพื้นสำเร็จ” และ “ไม้ไผ่” ที่จะมาใช้ปูเพื่อที่จะรองรับการเทพื้นชั้นบนของเมรุฯ จึงทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นวิธีการทำงานแบบ “ดั้งเดิม” ที่ประหยัดกว่า และ “ดีกว่า...”
สืบเนื่องจากบันทึก ที่ข้าพเจ้า “คิดมาก” ว่าช่างทั้งหลายคงจะลำบากหากต้อง “สับฝาก” เพื่อใช้รองพื้น แต่กลับพบว่าการสับฝากเป็นเรื่อง “ปกติ” สำหรับช่างที่นี่...
ในบ้านเราอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเยอะ...
สำหรับเมืองไทย การทำงานก่อสร้างในที่ต่าง ๆ นั้นไม่ค่อยเห็นใคร “สับฝาก” เพื่อรองพื้นกันแล้ว อาจจะเนื่องด้วยเหตุผลเพราะท้องพื้นด้านล่างและไม่สวย หรือจะเป็นเหตุผลหลักที่ช่างบ้านเราต้องการความสะดวกและรวดเร็ว...
การถูกจำกัดด้วยเทคโนโลยีทำให้ศักยภาพของมนุษย์ผุดออกมา...
ตั้งแต่ข้าพเจ้ามาทำงานที่นี่ ข้าพเจ้าได้เห็น “ศักยภาพ” ของพี่น้องชาวลาวอย่างมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง “ศักยภาพทางร่างกาย”
คนที่นี่ “ขยันมาก...”
จากการที่ไม่มีเครื่องทุ่นแรง ทำให้คนที่นี่เขาต้องใช้ “แรง” เพื่อทำงาน
การใช้แรงทำงานนั้น นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังจะทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะฯ เพื่อธาตุแท้ของคนเรานั้นจะเห็นได้ครั้นที่ต้องประสบ “ความลำบาก”
ถ้ามีไม้อัด ก็ไม่ได้เห็นการ “สับฝาก”
จากการที่ไม่สามารถสั่ง “ไม้อัด” มาได้ในเวลาที่ต้องการ ข้าพเจ้าจึงได้เห็นฝีมือการสับฝากของ “นายช่าง” ที่บ้านนี้ เมืองนี้
การสับฝากเริ่มต้นจากการวัดความยาวของหน้างาน แล้วจึงมาตัดไม้ไผ่ให้ได้มีขนาดตามหน้างานนั้น...
“เลือกที่อ่อน ๆ...”
เป็น Tacit knowledge ที่ข้าพเจ้าได้ยินจากช่างในการเลือกไม้ไผ่ที่จะนำมา “สับฝาก”
เพราะนอกจากจะสับง่ายแล้ว เวลาคลี่หรือแบบไม้ไผ่ออกมาก็จะทำให้ “เรียบ” เสมอกันดีกว่าการใช้ไม้ไผ่ “ต้นแข็ง ๆ”
จากนั้นข้าพเจ้าเห็นช่างสุภาเริ่มสับที่ปลายไม้ไผ่ก่อน จากนั้นจึงมาไล่สับที่ข้อปล้องที่ละข้อจนครบทั้งลำ
เมื่อสับครบทุกข้อแล้ว ใช้มีดตัดไม้ไผ่ออกตามความยาว
จากนั้นก็ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบแล้วดัดเพื่อให้ไม้ไผ่ที่จากเดิมงอและม้วนเป็นวงกลม คลี่ออกเป็นแผ่น “แบน ๆ”
เมื่อได้แผ่นไม้ไผ่ที่สามารถคลี่ออกเป็นแผ่นแบน ๆ ได้แล้ว จึงนำมาวางที่ “หน้างาน”
จากนั้นใช้ตะปู 1 นิ้ว ตอกยึดไม้ไผ่ที่สับฝากแล้วไว้กับ “ไม้ตุ๊กตา”
ปูให้เต็ม...
ความกว้างของไม้ไผ่เมื่อคลี่ออกมาแล้วจะจะมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 15-25 เซนติเมตร แล้วแต่ขนาดของลำต้นหรือเส้นรอบวงของไม้ไผ่ลำนั้น
การปูไม้ไผ่เพื่อรองพื้นสำหรับการเทปูน ก็เหมือนกับการปูไม้ไผ่เพื่อรองพื้นที่พัก คือ ต้องปูให้เต็ม
จากนั้นจึงนำผ้ายางบางมารองเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำปูนหรือเศษปูนหล่นร่วงไปตามช่องไม้ไผ่ที่มีความห่างกันพอสมควร
“ไม้ไผ่แน่นหนากว่าไม้อัด...”
หลังจากที่ปูไม้ไผ่เสร็จแล้ว ข้าพเจ้ามีโอกาสเดินไปเดินมาบนไม้ไผ่ที่ปูแล้วนั้น แต่ทว่าเมื่อก้าวเท้าออกจากไม้ไผ่ไปเหยียบตรงไม้อัด “พลั๊ว!!!” หักคาเท้า...
ปรากฏว่า ไม้อัดที่ปูไว้ก่อน “แตก” ทำให้ข้าพเจ้าเกือบหล่นไปอยู่ข้างล่าง
“ประหยัดกว่าเกือบสิบเท่าตัว...”
หลังจากที่ข้าพเจ้าลองคำนวณคร่าว ๆ ถึงความแตกต่างระหว่างการใช้ไม้อัดสำหรับการปูพื้นงานเทพื้นชั้น 2 ที่มีพื้นที่ประมาณ 31 ตารางเมตร แล้วพบว่า ถ้าหากใช้ไม้อัดปูพื้น จะต้องใช้ไม้อัดขนาด 2.45x1.25 เมตร (หักเศษที่ต้องตัดให้พอดีช่องออกแล้ว) จำนวน 12 แผ่น ราคาแผ่นละประมาณ 400 บาท คิดเป็นมูลค่า 4,800 บาท
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นใช้ไม้ไผ่แทนแล้ว ค่าไม้ไผ่บวกกับค่าแรงในการสับฝากจะอยู่ที่ประมาณ 500 บาท เท่านั้น แถมมีความแข็งแรงแน่นหนากว่า เหยียบแล้วไม่แตกเหมือนไม้ไผ่อีกด้วย...
และถ้าเปรียบเทียบกับราคาแผ่นพื้นสำเร็จ ซึ่งราคาที่อำเภอเชียงคานอยู่ที่ประมาณตารางเมตรละประมาณ 330 บาท (ขนาด 1x0.35 เมตร ราคาเมตรละ 110 บาท) 31 ตารางเมตรจะตกอยู่ที่ 9,900 บาท รวมกับค่าขนส่งอีกอย่างน้อย 1,000 บาทแล้ว ก็แตกต่างกันอยู่ “โข” ทีเดียว...
“5 นาที ต่อเมตร...”
หลังจากที่ข้าพเจ้าสังเกตุดูวิธีการทำและลองจับเวลาของช่างที่ใช้ในการสับฝากแล้วพบว่า ช่างที่นี่ใช้เวลาในการ “คิดเฉลี่ย” ได้ประมาณเมตรละ 5 นาที ซึ่งเกิดจากความชำนิชำนาญและประสบการณ์ฝังลึกที่มีอยู่ในตัวคน...
ไม่เคยเห็นครับ แต่ที่เคยใช้กับเด็กๆ คือใช้ไม้ไผ่แทนเส้นเหล็ก ทำเป็นตารางๆ แล้วเทปูน
การที่ไม่สามารถหา "แผ่นพื้นสำเร็จ" มาใช้งานได้ จึงทำให้ได้เห็นการใช้ "ไม้อัด"
การที่ไม่สามารถหา "ไม้อัด" มาใช้งานได้ จึงทำให้ได้เห็นการใช้ "ไม้ไผ่"
ทุกอย่างเป็นเหตุ เป็นปัจจัยซึ่งการและกัน
การทำอะไรสบาย ๆ อะไร ๆ ก็ได้มา "ง่าย ๆ" ทำให้เราพลาดของ "ดี" บางอย่างในชีวิต
ชีวิตที่สมบูรณ์เกินไปเป็นเช่นนั้น
ถ้าหากไม่ทุกข์ เราก็ไม่รู้ว่าสุขเป็นอย่างไร
ถ้าหากไม่เกิดทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรคก็ไม่มี
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเหตุที่ทำให้เกิด "ปัญญา"
สติมาปัญญาเกิด สติเตลิด ปัญญาหนี
ดังนั้นถ้าหากปัญหาเกิดขึ้นครั้งใด หากเรามีสติสมบูรณ์แล้วย่อมจะนำมาซึ่ง "ปัญญา"
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ด้วยการมี "ศีล" ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งกาย วาจา และใจ
ศีลเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ สมาธินั้นแลเป็นเหตุให้เกิด "ปัญญา"
ปัญหาทุกอย่างมีทางออก
ทางออกจะดีหรือไม่ "ศีล" นั้นแลเป็น "เหตุ..."