ก่อนที่จะเดินทางมาทำงานที่นี่ ข้าพเจ้าค่อนข้างหวั่นใจกับเรื่องของการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เพราะได้ข่าวว่าสินค้าที่นี่ราคาค่อนข้างแพง และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ “หาซื้อได้ยาก”
แต่ทว่า ในช่วงเย็นวันนี้ประมาณบ่ายสี่โมง
ระหว่างที่ข้าพเจ้าเดินมาดู “ช่างแพง” ซึ่งกำลังจะก่ออิฐแผงด้านหลัง ข้าพเจ้าก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า ถ้าก่อทึบหมดจะเป็นการ “ปิดทางลม” เพราะเมรุฯ หลังนี้ดีไซน์ให้ใช้ “โบล์เวอร์” อัดลมเข้าเตาแทนการ “เปิดใต้ถุน” แล้วใช้ลมดันจากด้านล่าง
เมื่อข้าพเจ้าเดินดูระยะห่างจากที่ตั้งโบล์เวอร์กับกำแพงแล้วอยู่ค่อนข้างใกล้กันมาก
ข้าพเจ้าจึงคิดต่อไปว่า ถ้าหากติดโบล์เวอร์แล้วจะเอาลมมาจากที่ไหน ถ้าหากก่อกำแพง “ทึบ” หมด
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงปรึกษากับทีมงานอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมี “อาจารย์ร่อน” ร่วมรับฟังอยู่ด้วย
ข้าพเจ้าใช้คำพูดในทำนองปรึกษา โดยเล่าสถานการณ์เบื้องต้นว่าจะต้องใช้ลมจากโบล์เวอร์แทนการเปิดใต้ถุน ดังนั้น “เราจะทำอย่างไรกันดี...?”
ทีมงานท่านหนึ่งก็เสนอแนะให้ใช้อิฐที่เป็น “ช่องลม”
ซึ่งก็ตรงกับที่ข้าพเจ้าตั้ง “ธง” ไว้ตอนแรก
แต่เปลี่ยนจากการสั่งให้คนไปซื้อ “ช่องลม” มาเลย เปลี่ยนเป็นการตั้งคำถามให้ทีมงานคนอื่นคิดมาได้แทน
คำถามต่อไปของข้าพเจ้าก็คือ จะซื้อได้จากที่ไหน...?
อาจารย์ร่อนจึงได้บอกว่าแถวนี้มีขาย...
นอกจากนั้น ข้าพเจ้าก็ยังได้ปรึกษาเพิ่มเติมอีกว่า
แปลนเดิม จะมีหน้าต่างข้างหลังนี้สองบาน แต่ถ้าหากใช้หน้าต่างสองบานก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกสามถึงสี่พันบาท ถ้าหากให้ดีน่าจะใช้อิฐที่เป็นแก้วแทน ซึ่งข้าพเจ้าก็เรียกไม่ถูกว่าไอ้ที่เป็นแก้ว ๆ สี่เหลี่ยม ๆ นั้นเขาเรียกว่าอะไร
แต่ทีมงานที่อยู่ใกล้ ๆ ก็รู้จักว่าเจ้าสิ่งที่ข้าพเจ้าหมายถึงนั้นคืออะไร โดยเฉพาะอาจารย์ร่อนก็รู้อีกว่าจะไปหาซื้อได้จากที่ไหน...
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมอบหมายให้อาจารย์ออกไปสืบราคา พร้อมทั้งนับจำนวนอิฐช่องลมไปด้วยว่าใช้จำนวน 22 ก้อน
เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที อาจารย์ร่อนขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาพร้อมกับรถหกล้ออีก 1 คัน
รวดเร็วทันใจมาก... (ข้าพเจ้าคิดในใจ)
เพราะอาจารย์ร่อนไปซื้อบล็อคแก้ว มาพร้อมกับช่องลมอีกจำนวน 22 ก้อน
โดยอิฐสี่เหลี่ยมซื้อร้านหนึ่ง เจ้าของร้านใจดีมาก ซื้อแค่ 24 ก้อน ก็ให้เอารถหกล้อมาส่ง
แต่ทว่า อิฐช่องลมร้านเขาไม่มี เขาก็ใจดีอีก เพราะว่าอนุญาตให้รถร้านเขาไปใส่เอาที่ร้านอื่น โดยเฉพาะอิฐช่องลมนี้ อาจารย์ร่อนของสตางค์ก่อนให้ด้วย...
จากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การเดินทางไปทำงานที่ใดก็ตาม ถ้าหากเราสามารถทำให้ทีมงานหรือคนรอบข้างได้ร่วมคิด ซึ่งการร่วมคิดนี้เองจะสร้างความรู้สึก “เป็นเจ้าของงาน” ที่กำลังกระทำอยู่ จะทำให้การทำงานราบรื่นกว่าการสั่งงานแบบ “เผด็จการ” ซึ่งจะทำให้เราทำงานแบบ “หัวเดียวกระเทียมลีบ...”
จากการที่เคยวิตกกังวลเรื่องซื้อวัสดุอุปกรณ์ เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าสบายใจในเรื่องนี้มาก เพราะทีมงานทุกคนมีความ “กระตือรือร้น” ในการทำงาน...
ซึ่งถ้าหากจะเปรียบเทียบกับเมืองไทยที่ข้าพเจ้าเคยคิดว่าการสั่งของนั้น “สบาย” แล้วก็พบว่า เมื่อครั้งก่อนตอนที่อยู่ปทุมธานี เร็วที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยได้รับบริการก็ต้องรออย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ไม่มีคนข้างในวิ่งออกไปซื้อของได้รวดเร็วอย่างอาจารย์ร่อน
สถานที่ใกล้ไกล ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญ ถ้าหากเราสามารถทำให้ทีมงานมี “ใจ” ที่ “ใกล้ชิด” อยู่กับงาน
คนที่มีใจใกล้ชิดอยู่กับงานเราสามารถบริหารจัดการได้ด้วย “การมีส่วนร่วม”
ดังนั้น การเปิดโอกาสให้ร่วมคิด เป็นเหตุที่ทำให้ทีมงานมีใจที่ “ใกล้ชิด” กับการทำงาน...
ไม่มีความเห็น