พอเพียงไม่มีขาย..อยากได้ต้องทำเอง
นักวิชาการเคยบอกผมว่า โครงการต่างๆที่ดำเนินงานตามปรัชญาของเศรษฐกิจแบบพอเพียง ถ้าเป็นโครงการที่มีผลิตผลเพื่อการจำหน่าย เป็นรายได้เข้าสู่องค์กร ไม่ควรนึกถึงผลกำไรมากนัก แต่ควรให้ลูกค้า หรือชุมชน ได้กินได้ใช้ของดีมีประโยชน์ เป็นการช่วยเหลือสังคม และประชาสัมพันธืแนวคิดการบริหารจัดการที่ดี ตลอดจนเป็นภูมิคุ้มกันให้แก่หน่วยงานได้อีกทางหนึ่งด้วย
ผมเข้าใจแบบไม่ชัดเจนนัก ต่อเมื่อมาเลี้ยงปลาดุกในโรงเรียน จำนวน ๓๐๐ ตัว ในบ่อดินเล็กๆ เวลาผ่านไป ๕ เดือนเศษ ปลาดุกตัวโตแหวกว่ายอยู่เต็มบ่อ ผมตัดสินใจวิดน้ำออกหมด เพื่อเตรียมปรับแต่งบ่อให้ใหญ่ขึ้น ตั้งใจจะเทปูน แล้วเปลี่ยนเป็นเลี้ยงปลาแรด หรือปลานิลบ้าง
พอวิดน้ำออกจากบ่อหมดแล้ว พบว่าปลาดุกตัวโตไม่เท่ากัน ปลาใหญ่ รวมกันชั่งได้ราวๆยี่สิบกิโลกรัม ผมนำไปขายเพื่อจะได้ทุนคืน ส่วนปลาขนาดกลางๆ ซึ่งมีจำนวนมาก ผู้ปกครองที่มารอรับนักเรียนขอซื้อไป ผมคิดกฺิโลกรัมละ ๒๐ บาท ที่เหลือผมแบ่งให้นักเรียนชั้น ป.๓ - ๖ ซึ่งมีส่วนช่วยเลี้ยงมาตลอด แบ่งให้คนละ ๕ ตัว นักเรียนที่ได้ปลากลับบ้าน ต่างยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างมีความสุข
เหลือปลาเล็กน้อยที่ไม่ได้ขาย ผมให้ครูไปปล่อยลงสระ เรียกว่าหลากหลายกิจกรรมสำหรับบ่อปลาดุกรุ่นนี้ คือ มีทั้งขาย ทั้งแจก ทั้งแถมและให้ฟรี จึงรู้สึกอิ่มเอมใจว่าได้ดำเนินการได้ครบถ้วน ถึงเวลาประเมินผลโครงการ ปรากฎว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ทั้งในด้านแหล่งเรียนรู้และการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนเป็นการบูรณาการสู่การเรียนการสอน และได้ความสัมพันธ์ชุมชนด้วย
จากกระบวนการทำงานที่ยากและมากไปด้วยปัญหาอุปสรรค เนื่องจากขาดทักษะและประสบการณ์ เพียงแต่มีความปรารถนาดีต่อโรงเรียนและนักเรียน จึงทำให้ลืมนึกถึงคุณค่าของความพอเพียง ทั้งๆที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เมื่อบรรลุจุดหมายปลายทาง ภาพแห่งความพอเพียงจึงได้ฉายออกมาอย่างชัดเจน
ข้อคิดก็คือ ต้องลงมือทำทุกงานอย่างจริงจังและรู้จริง มุ่งมั่นและตั้งใจ เพราะความพอเพียงหาซื้อไม่ได้... อยากเห็นอยากได้..ต้องทำเอง
เยี่ยมมากๆๆๆๆครับ คิดถึงสมัยเป็นครูมัธยมฯเลย 555