ครูเพื่อศิษย์ คือครูที่ขยันหมั่นเพียรในสังเกตุกิริยา อาการ ท่าทาง และ “จิตใจ” ของศิษย์
การที่ครูสังเกตศิษย์ซ้ำแล้วซ้ำอีกนั่นคือ “การวิจัยในชั้นเรียน”
การวิจัยนั้นอาจจะไม่บันทึกก็ได้หรือจะบันทึกก็ดี สิ่งสำคัญคุณครูจะต้องมี “โยนิโสมนสิการ”
การพิจารณาโดยละเอียดและ “แยบคาย”
ถ้าหากจะใช้การจดบันทึกช่วย การจดบันทึกก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะบังคับตัวเองในการสรุปความ
การสรุปความโดยการจดบันทึกนั้นจิตอาจจะไม่ “นิ่ง” เท่ากับการพิจารณาด้วย “สมาธิ” คือในระหว่างการทำจิตให้ “นิ่ง” อยู่กับลมหายใจ
แต่การสรุปความด้วยบันทึกจะสามารถใช้ได้ประโยชน์มากขึ้นผ่านการที่ครู “ทำสมาธิ” แล้วมีการ “โยนิโสมนสิการ” โดยใช้ศีล ๕ ที่บริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน
ดังนั้น คนที่เป็นครูจะเป็นเป็นคนที่ “สมบูรณ์”
คนที่สมบูรณ์คือคนที่มี “ศีล ๕” เป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัย เป็นเครื่องใช้ปกติในชีวิตประจำวัน
เมื่อครูมีศีล ๕ ปกติ “สมบูรณ์พร้อม” จิตก็จะไม่วิ่งหรือหวั่นไหวไปกับอารมณ์ใด ๆ ไม่ว่าใครคนใดจะมาให้สินจ้าง รางวัล หรือจะพาไปนั่งเครื่องบินเที่ยวรอบโลก
พื้นฐานจิตของคุณครูจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
การทำพื้นฐานของจิตให้ดี ก็คือ การรักษาศีล ๕ ให้ “สมบูรณ์”
วันนี้เราอาจจะต้องย้อนกลับมาดูเรื่องของการปูพื้นฐานให้มากขึ้น
การเน้นวิชาการ การอัดทฤษฎี แต่คนมีจิตใจไม่ดี ก็จะมีแต่นำงานวิชาการไป “หาอยู่ หากิน”
การรักษาศีลของคุณครูนั้น จะให้ครูเป็นคนดี เป็นครูที่ “เสียสละ”
ครูที่จะเสียสละจิตมีแต่คิดที่จะ “ให้” จิตไม่หลงไหล มุ่งหวังไปกับการทำผลงานวิชาการ เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง แต่เพียงอย่างเดียว
การให้รางวัลคุณครูเมื่อคุณครูมีผลทางวิชาการจึงเป็นดาบสองคม
แต่ถ้าจิตใจของครูดี ดาบทั้งสองคมนั้นย่อมเป็นประโยชน์กว่าดาบด้านเดียวที่อีกด้านหนึ่งทื่อ
คนที่จิตใจดี ไม่ว่างานที่ทำจะสำเร็จหรือล้มเหลว เขาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสองด้าน
ได้เงินก็ดี “อิ่มกาย” ไม่ได้เงินก็ยิ่งดี เพราะเป็นเหตุที่ได้ทำความดี “อิ่มใจ” ที่ได้เสียสละ
คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่มุมมอง ทัศนคติ ความคิด สิ่งเหล่านี้คือ “สัมมาทิฏฐิ”
คนที่จะมีสัมมาทิฏฐิได้ “ศีลต้องดี”
ทุกอย่างเริ่มต้นที่ศีล
และศีลเริ่มต้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุก “ลมหายใจ”
ถ้าหากเรายังมีลมหายใจอยู่ที่ใด ที่นั่นเราย่อมยังมี “ศีล...”
ได้อ่านข้อคิดนี้แล้ว จิตนิ่ง เป็นสมาธิ เป็นกุศลมากเลยค่ะ จะขอ save ข้อมูลนี้ไว้ทบทวนอ่านอีกบ่อยๆค่ะ