ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ PBL คือให้คนเรียนกลุ่มประมาณ
12 คน บวกลบนิดหน่อย มาแจกแจงตีประเด็นปัญหาว่าจะเรียนรู้อะไร
แล้วทุกคนไปอ่านไปค้นมาอย่างเป็นเอกเทศ
นำความเข้าใจมาคลี่รวมกันว่าความรู้ที่ถูกต้องมีอะไรบ้าง
สิ่งที่น่าสนใจในวิธีคิดการจัดการแบบนี้คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า
ความรู้ที่แต่ละค้นไปค้นไปอ่านมา ถูกต้อง เพราะกระบวนการเรียนแบบนี้
อาจารย์ไม่ได้มาป้อนความรู้ให้
การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่กลุ่มมีคุณภาพสูง
เกิดขึ้นได้ทั้งที่สมาชิกกลุ่มอาจไม่ได้มีคุณภาพสูงเป็นพิเศษ
จะต้องอาศัยแนวคิดทางสถิติเรื่องการแจกแจงทวินาม
สมมติว่า สมาชิกกลุ่มแต่ละคน มีโอกาสเข้าใจถูกต้อง ด้วยความน่าจะเป็น
k
เมื่อใช้ระบบกลุ่ม ก็โน้มน้าวกันด้วยเสียงข้างมาก
สมมติขนาดกลุ่มคือ 12 คน
เสียงข้างมากคือ เมื่อเกิน 6 คนเข้าใจอย่างไร
คนอื่นที่เหลือจะคล้อยตาม
ดังนั้น เราคาดว่า จำนวนคนที่เข้าใจถูกก่อนมาแชร์กัน คือ 12k คน
ถ้า 12k คน > 6 คน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ทั้งกลุ่มเข้าใจถูก
ถามว่า มีโอกาสเท่าไหร่ ที่ 12k คน > 6 คน
ตรงนี้ เราก็ต้องทดสอบทางสถิติ หาค่า t-test ของการแจกแจงทวินาม
t = (12k-6)/SE
ถามว่า SE จะมาจากไหน
ในทางสถิติ SE = [Nk(1-k)]^.5 โดยเรารู้ว่า กรณีที่ SE ใหญ่ที่สุด
จะเกิดที่ k=0.5 ซึ่งหากแทนค่า k=0.5 เข้าไป และ N=12 จะได้ SE = 1.75
คน
สมมติเราตั้งเกณฑ์ว่า t-test ต้องได้ผลที่มี significant เช่น ได้ t=2
แก้สมการจะได้
2 = (12k - 6)/1.75
แก้สมการ จะได้ k = 0.79
นั่นคือ หาก k > 0.79 เราจะแน่ใจว่า พฤติกรรมกลุ่ม
จะปรับตัวเข้าสู่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติ
โดยมีโอกาสพลาดน้อยมาก ทั้งที่สมาชิกกลุ่มแต่ละคน
มีโอกาสพลาดสูงพอสมควร
ผลการคำนวณนี้ จะบอกอะไรเรา
1. ถ้าสมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่ มีโอกาสเข้าใจได้ถูกต้องด้วยตนเองถึง 80 % พฤติกรรมกลุ่ม จะปรับเข้าสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องเองโดยอัตโนมัติ โดยมีโอกาสน้อยมาก ที่จะลงเหวทั้งกลุ่ม (โอกาสที่ว่า คือพื้นที่ส่วนหางของ t-test แบบทางเดียว ซึ่งปรกติก็จะน้อยแค่ 5%)
โอกาสน้อยมากที่ว่า จะมีกลไกของอาจารย์ประจำกลุ่ม ช่วยปรับให้เข้ารูปเข้ารอย ก็จะทำให้โอกาสพลาด น้อยลงไปอีกมาก
จะเห็นได้ว่า สมาชิกย่อย ๆ ในกลุ่ม ไม่จำเป็นต้องเลอเลิศมาก แค่ให้ไม่ขี้ริ้วเกินไป ก็จะสามารถสร้างกลุ่มที่เก่งกว่าสมาชิกรายคนได้ นี่คือจุดแข็งของ PBL
2. แนวคิดในการดำเนินการกลุ่ม อยู่บนฐานความเชื่อว่า
-ข้อแรก ทุกคนช่วยตัวเองได้ มีโอกาสค้นแล้วเข้าใจได้อย่างถูกต้องเกิน 80 % ขึ้นไป ซึ่งถ้าไม่ได้ลักไก่มั่วนิ่มมา ปรกติ ตรงนี้ก็พอเป็นไปได้
-ข้อที่สอง ทุกคนต่างคนต่างทำ ทุกคนเป็นเอกเทศกัน ไม่มีใครลอกใคร เพราะถ้ามีการลอกเกิดขึ้น ทุกอย่างล้มหมด คือคนที่เข้าใจผิดหากเป็นต้นตอให้คนอื่นลอก ทั้งกลุ่มก็อาจเข้าใจผิดตามไปหมดทั้งกลุ่ม
จะเห็นได้ว่า วิธีคิดแบบนี้ จุดตายจะอยู่ตรงฐานความเชื่อนี่เอง นั่นคือ หากคนเรียนมักง่ายเมื่อไหร่ ระบบแบบนี้จะอันตรายมาก เพราะแสดงว่า มาตรฐานของคนในกลุ่ม อาจต่ำกว่า 80 % มาก และมักมีการลอกกันเองเป็นสำเนาเดียว ผลคือ โอกาสที่เข้าใจผิดยกกลุ่ม ก็จะกระโดดสูงขึ้นมาอยู่ที่ใกล้ ๆ 50 %
ดังนั้น จุดอ่อนของ PBL ก็จะอยู่ตรงที่ว่า ถ้าสมาชิกกลุ่มมักง่าย ชอบลอก ไม่คิดเอง ไม่ขวนขวายทำให้ตัวเองสามารถหาความรู้ที่ถูกต้องได้ระดับ 80 % ขึ้นไปสัมฤทธิผลของวิธีนี้ จะเลวร้ายมาก
แต่หากคนเรียนไม่มักง่าย วิธีนี้ก็จะน่าทึ่งในแง่ที่ว่า มันมีกลไกในการปรับตัวเข้าหาความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้เองในระดับที่สูงมาก
ลองดูการเรียน PBL ที่ล้มเหลวกันบ้าง
สมมติว่า สมาชิกกลุ่ม เก่งทั้งนั้น อ่านเองเข้าใจถูก 90 % ทุกคน แต่แบ่งงานให้ทุกคนไปอ่านส่วนย่อย ๆ แล้วเอามาปะต่อกันโดยถือว่า ทุกคนทำมาถูกต้องอยู่แล้ว
กรณีนี้ โอกาสที่ทั้ง 12 ชิ้นต่อกันแล้วเป็นความรู้ผืนเดียวที่ถูกต้องไว้ใจได้ ก็จะมีความน่าจะเป็นเท่ากับโอกาสที่ทุกคนถูกพร้อมกันหมดทั้ง 12 คน = 0.9 ยกกำลัง 12 ซึ่งเทียบเท่ามีโอกาสถูกเพียง 28% เท่านั้น (0.9ยกกำลัง12 ได้ 0.28)
กรณีนี้ จะเห็นว่า สมาชิกที่เก่ง แต่เรียนรู้แบบกลุ่มผิดวิธี จะเกิดกลุ่มที่ไม่เอาไหน ขึ้นมาแทน กลายเป็นว่า ต่างคนต่างไปอ่านเองตีความเองถูก ๆ ผิด ๆ ยังจะดีเสียกว่า เพราะโอกาสผิดมีแค่ 10 %
หากคนเรียนมักง่าย วิธีนี้ก็จะอำนาจทำลายล้างระดับที่สูงมากเช่นกัน
PBL ถูกวิธี จะทำให้แม้สมาชิกกลุ่มไม่เก่ง แต่จะสร้างกลุ่มที่เก่ง
PBL ผิดวิธี จะทำให้แม้สมาชิกกลุ่มเก่ง แต่จะสร้างกลุ่มที่ห่วยมากได้
ไม่มีความเห็น