ทุกข์เพราะรัก


ความรักทำให้ตาบอด หวาดกลัว และยอม

   แม่วัย 55 ปี กินยาจิตเวชมานาน หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวล ทำงานได้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ  เมื่อสืบสาวราวเรื่องก็พบว่า การเจ็บป่วยของเธอเกิดจากความรักท่วมหัวอกของความเป็นแม่

   เธอมีลูกสาวและลูกชายอย่างละ 1 คน ลูกสาวน่ารัก รู้ความ รับผิดชอบตัวเองได้ ลูกชายคนเล็ก ตั้งแต่เล็กจนโตลูกชายคนนี้พ่อแม่พูดหรือเตือนอะไรไม่ได้  ลูกจะโกรธ ไม่พูดกับพ่อแม่  ตำหนิ ตะคอก  ด้วยความรักท่วมอก ไม่อยากให้ลูกลำบากหรือมีปัญหา จึงได้แต่เก็บถ้อยคำ ความรู้สึกไว้ ทำได้เพียงปรึกษาหารือ ปรับทุกข์กันเองตามประสาพ่อแม่

   ปัจจุบันลูกชายอายุ 31 ปี เรียนไม่จบปริญญาตามที่หวัง แต่มีเมีย (เรียนไม่จบปริญญาเช่นกัน) มีลูก 2 คน มีงานคือช่วยพ่อแม่ทำไร่หอม ทำบ้างไม่ทำบ้าง ขายหอมได้ ให้เงินพ่อแม่บ้าง ไม่ให้บ้าง ว่างๆ ก็ตีไก่ ตั้งวงพนันผัวเมียเล่นด้วยกัน ไม่มีเงินขอพ่อแม่ หลานไม่มีข้าวกินวิ่งมาบ้านปู่ย่า ตายาย

  เธอเคยบอกลูกว่าเป็นพ่อคนแล้ว อยากให้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว เลิกเล่นพนัน ไม่ตะคอกลูก ลูกก็โกรธ ไม่พูดด้วย ไม่ให้หลานมาหา ไม่กล้าบอกลูกสะใภ้ เพราะเคยบอกแล้วถูกตะคอกกลับ

   ทั้งโกรธ น้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง ด้วยความรัก ก็กังวลต่อว่าถ้าเราตายลูกหลานจะอยู่อย่างไร หลานจะกินอะไร  เมื่อโกรธมากๆ ก็อยากตัดหางปล่อยวัด แต่ด้วยความรัก พอหายโกรธก็ทำดีตามเดิม เธอขัดแย้งกับตัวเองเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ฉันได้พาเดินย้อนรอยเส้นทางของความทุกข์ แล้วก็พบว่า เธอตัดสินใจไม่ได้ เพราะความกลัวครอบงำ กลัวลูกไม่รัก กลัวลูกลำบาก กลัวใครๆว่าเราเป็นพ่อแม่ที่ใช้ไม่ได้ (จริงๆ ใช้ได้มากเลยแหละ) กลัวเสียหน้า

    แล้วฉันก็เป็นผู้บำบัดที่ต้องใจร้าย พูดกับเธอตรงๆ ว่า ที่ผ่านมาใครๆ รู้มั๊ยว่าลูกเราเป็นไง เธอมีอะไรต้องเสียอีกบ้าง และเธอจะยอมให้ตนตกอยู่ในสภาพแบบนี้ไปอีกนานเท่าใด

    เธอยิ้ม หัวเราะแบบปลงๆ ว่า จริงเนาะ เธอเสียหน้ามาตั้งนานแล้ว คนทั้งชุมชนก็รู้ว่าลูกเธอเป็นแบบไหน เธออยากอยู่อย่างเย็นใจเหมือนใครๆ บ้างฉันเลยได้โอกาสสะท้อนกลับให้เธอเห็นว่า ความรักลูกอย่างท่วมท้น ทำให้เธอปกป้องลูกเหมือนไข่ในหิน  ไม่เคยให้ลูกได้รับบทเรียนของการรู้รับผิดชอบ หน้าที่ของเธอในวันนี้คือ การทำปัจจุบันให้ดำเนินไปในทิศทางที่ควรเป็น 

    เธอคิดได้ว่าเธอและสามี ต้องปรับเปลี่ยนวิธี เธอใช้คำว่าต้อง "ใจแข็ง"  ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ ขณะเดียวกันฉันก็ได้เห็นร่องรอยของความรู้สึกหวาดหวั่น ไม่มั่นใจที่แฝงอยู่ ฉันคาดเดาได้ว่าเธอคงทำได้ยาก เพราะเธอเป็นคนใจดีมากๆ ดีกับทุกคน เป็นคนขี้เกรงใจ แต่ก็นั่นแหละ เป็นบทเรียนที่เธอต้องผ่านด้วยตัวเอง

    เธอจากฉันไปด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น สีหน้าแจ่มใสขึ้น  น่าเสียดายที่เราจะไม่ได้พบกันอีก เพราะเธอต้องไปรับยาที่ รพ.ใกล้บ้านแล้ว

หมายเลขบันทึก: 483696เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2012 09:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 18:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอเป็นกำลังใจให้แม่ผู้มีความรักต่อลูกครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท