.
.
ไมเกรนเป็นโรคปวดหัวที่มีอาการปวดไม่คงที่ ขึ้นๆลงๆ ตามจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือปวดแบบ "ตุ๊บๆ", ส่วนใหญ่เป็นข้างเดียว (ซ้ายหรือขวา)
.
ประชากรโลก 8 คนจะเป็นโรคนี้ประมาณ 1 คน = คน 7,004 ล้านคน เป็นโรคนี้ประมาณ 875.5 ล้านคน อาการปวดหัวไมเกรนมักจะแรงกว่าปวดหัวทั่วไป เช่น เป็นไข้หวัด ฯลฯ เทียบจากยาพาราเซตามอลแก้ปวด จะบรรเทาอาการได้ประมาณ 1/2 ของคนไข้ทั้งหมด (อีก 1/2 พบว่า อาการปวดไม่ลดลงเลย) [ census ]
.
โรคนี้มีสิ่งเร้า หรือตัวกระตุ้นที่สำคัญได้แก่ นอนดึก-นอนไม่พอ-นอนไม่หลับ (เช่น ทำงานล่วงเวลา / OT มากเกินไป ฯลฯ) แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นเหม็น-อาหารบางอย่าง กระทบร้อนหรือเย็นจัด หิวมาก หรือเครียด
.
ถ้าหลีกเลี่ยงสิ่งเร้า หรือตัวกระตุ้นได้, จะมีอาการปวดน้อยลง โดยเฉพาะอย่ามีหนี้เกินตัว เพราะจะทำให้ปวดหัวบ่อย (มาก)
.
คนไข้ไมเกรนบางท่านบ่นอยากฆ่าตัวตายเพราะปวดหัวบ่อย ซึ่งไม่จำเป็นเลย เพราะมีคนทั่วโลกปวดหัวเป็นเพื่อนนับร้อยๆ ล้านคน, มียาบรรเทาอาการ และมียาที่ช่วยป้องกันอาการปวดได้ (ถ้าปวดรุนแรง หรือบ่อย 2 ครั้ง/สัปดาห์ขึ้นไป)
.
และข่าวดีสำหรับท่านที่เป็นไมเกรน คือ ท่านจะมีเพื่อน "ร่วมโรค (เป็นโรคเดียวกัน)" มากขึ้น เนื่องจากภาวะโลกร้อนจะทำให้อากาศร้อนขึ้น ปวดหัวแบบนี้บ่อยขึ้น
การศึกษาใหม่จากไต้หวัน วิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้ชาย 23,000 ราย ในจำนวนนี้มีปัญหานกเขาไม่ขัน 5,700 ราย
.
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ชายที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศต่ำ หรือนกเขาไม่ขับ (erectile dysfunction / ED = อวัยวะเพศไม่แข็งตัว) 63% เสี่ยงปวดหัวแบบไมเกรนมากขึ้น (4.25% เมื่อเทียบกับกลุ่มนกเขาขัน = 2.64%) หลังตัดปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ฯลฯ ออกไปแล้ว
.
ผู้ชายไต้หวันที่มีปัญหานกเขาไม่ขันในช่วงอายุน้อย (30s = 30-39 ปี) เป็นไมเกรน 2 เท่า (200%) ของกลุ่มนกเขาขัน
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ อาการปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ อาจทำให้เครียด นกเขาเลยพาลไม่ขันตามไปด้วย หรือไม่ก็เป็นอาการ "ไม่ขัน" ชั่วคราวในระหว่างการกินยาป้องกัน-รักษาไมเกรน
.
คนสหรัฐฯ 313 ล้านคน เป็นผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ (15 ปีขึ้นไป) 136.5 ล้านคน มีปัญหานกเขาไม่ขันประมาณ 20 ล้านคน = ผู้ชาย 7 คนมีปัญหานกเขาไม่ขันเฉลี่ย 1 คน [ indexmundi ]
.
อาการนกเขาไม่ขันพบเพิ่มตามอายุ... อายุยิ่งมากยิ่งเสี่ยงไม่ขัน, คนอายุ 60 ปี ครึ่งหนึ่งจะมีอาการนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง
.
การศึกษานี้เป็นการศึกษาแรกเริ่ม จำเป็นต้องรอการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านต่อไป
.
.
(1). ทำตัวให้ฟิต (แข็งแรง) > การออกกำลังอย่างหนัก เทียบเท่าวิ่ง 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ (30 นาที 6 วัน) หรือเล่นเทนนิส 5 ชม./สัปดาห์ ลดเสี่ยง 30%
.
(2). รักษาหุ่น > น้ำหนักเกิน-อ้วน = เพิ่มเสี่ยง
.
(3). ไม่นั่งนาน > ดู TV เกิน 20 ชั่วโมง/สัปดาห์ = เพิ่มเสี่ยง
.
(4). ไม่สูบ > สูบบุหรี่ หรือหายใจเอาควันบุหรี่ที่คนอื่นสูบเข้าไป โดยเฉพาะห้องแอร์ที่มีคนสูบบุหรี่ = เพิ่มเสี่ยง
.
(5). ไม่ดื่มหนัก > แอลกอฮอล์ขนาดสูง = เพิ่มเสี่ยง
.
(6). ลดเครียด-ซึมเศร้า เช่น ออกกำลัง ฝึกไทชิ-ชี่กง ทำแบบทดสอบความเครียด-ซึมเศร้า, ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยงควรปรึกษาหมอใกล้บ้าน
(7). ไม่ปั่นจักรยานนาน > อานจักรยานอาจกดหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดช้าลง > ควรลุกจากที่นั่ง เดินไปเดินมาอย่างน้อย 2-3 นาทีทุกชั่วโมง (ถ้าทำได้)
.
(8). นอนให้พอ > คนส่วนใหญ่ต้องการนอน 7-8 ชั่วโมง/วัน
.
(9). ระวังอ้วนลงพุง (เส้นรอบเอวเกิน 90 ซม./ 36 นิ้ว) > ภาวะนี้เพิ่มเสี่ยงโรคหัวใจ-หลอดเลือดเสื่อม ป้องกันได้ด้วยการออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ ลดข้าวขาว-ขนมปังขาว-อาหารทำจากแป้ง-น้ำตาล เช่น คุกกี้ เค้ก เบเกอรี่ ฯลฯ
.
(10). เช็คความดันเลือด-น้ำตาลในเลือด > ถ้าเป็นโรคความดันเลือดสูง ภาวะก่อนเบาหวาน-เบาหวาน รีบปรับเปลี่ยนแบบแผนการใช้ชีวิต (ไลฟ์สไตล์) และรักษาต่อเนื่องตามที่หมอแนะนำ
.
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
.
> [ Twitter ]
- Thank Reuters > SOURCE: bit.ly/GFo00n Cephalalgia, online March 9, 2012.
- นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ รพ.ห้างฉัตร ลำปาง. 2 เมษายน 55. ยินดีให้ท่านนำบทความไปใช้ได้ โดยอ้างที่มา และไม่ใช้เพื่อการค้า > CC: BY-NC-ND.
- ข้อมูลทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค; ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูงจำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้.