คราวที่แล้วเล่าถึงการพาผู้ป่วยติดเหล้าได้รู้จักกับความคิดอัตโนมัติของตนว่ามีอะไรบ้าง. อีกสองวันถัดมาพบกันอีก. ถามไถ่ความก้าวหน้าของเขาถึงการหมั่นสังเกตความคิดอีตโนมัติของตน. ได้คำตอบว่า"ไม่ค่อยได้ทำ". ก็แปลว่าอาจไม่ได้ทำ เพราะเมื่อถามต่อในรายละเอียด. ก็ไม่ได้คลำตอบอะไรที่แจ่มชัด
นี่คือภาวะธรรมดา ที่พบได้เสมอในผู้ป่วยกลุ่มนี้. ที่เป็นอย่างนี้เพราะcognitive function. ของเขาอ่อนด้อยกว่าคนทั่วไป เพราะดื่มมานานมาก
หน้าที่ของผู้บำบัดที่ทำได้คือ. ยอมรับในสภาวะที่เกิดกับเขา ไม่เช่นนั้นเราเองจะรู้สึกล้มเหลว
เอาละ! อย่างน้อยเขาก็ได้มีประสบการณ์กับความคิดอัตโนมัติบ้าง.
การบำบัดใน3ครั้งสุดท้าย. เน้นไปที่การกำหนดวิธีการปฏิบัติ เพื่อพาตนออกจากวงจรซ้ำซาก ซึ่งตัวเขาเองบอกว่า"เบื่อตนเองเต็มทน". ในช่วงแรกของการคิดวิธีการเขาก็ยังโยนให้เป็นหน้าที่ของรนอื่นตามวิสัยที่เคยชิน. หน้าที่ของฉันคือ. ชวนเขากลับมาที่ตัวเองว่า. แล้วเฉพาะตัวเขาเองเขาจะทำอะไรเองได้บ้าง. เขาคิดอยู่นาน คำตอบที่ได้ยีงคลุมเคลือ. แต่ก็มีความหวีงให้เห็น เพราะเขาบอกว่า "จริง ๆ. เราต้องพึ่งตัวเอง ทุกอย่างเกิดจากเรา. ถ้าจะแก้ก็ต้องแก้ด้วยตัวเอง".
เลยต้องรีบชื่นชมกับความคิดนี้. เน้นย้ำอีกหน่อยว่าสิ่งที่เขาคิดช่างเป็นความกล้าหาญจริงๆ. (ก็เขาขลาดกลัวมานาน) วันนี้คิดไม่ออกงั้นให้เป็นการบ้าน อีกสองวันเจอกัน
นี่ก็เป็นเทคนิคการปิดชั่วโมงการบำบัดที่แนบเนียนวิธีหนึ่ง. เพราะวันนั้นฉันเหนื่อยมากกับภาระกิจที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้. ทำไมต้องเว้นวัน. ก็เจอกันบ่อยบางทีเราก็ตันเหมือนกัน. อีกอย่างการทิ้งช่วงห่างมากขึ้น. ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เขามีเวลาตรึกตรองมากขึ้น
กลับไปเจอกันตามนัดหมาย. เขาถือกระดาษที่เขียนการบ้านมาอยล่างกระตือรือร้น ทักทายกันสั้นๆแล้วดูการบ้านเลย อืม....ชัดเจนขึ้น เขาเขียนเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน. เขียนคร่าวๆ ตามวิสัยของเขา. เรามีหน้าที่ชวนคิดรายละเอียด. ครั้งนี้กล้าเผชิญความจริงมากขึ้น. พูดถึงความจริงที่แย่ๆ. เจ็บปวดได้ง่ายขึ้น
ฉันว่า เขาเดินมาถึงจุดนี้ได้. นอกหนือจากเทคนิคพื้นฐานที่ใช้ตามทฤษฎีแล้ว. ฉันว่าความรู้สึกเป็นมิตร ความเมตตาที่ฉันมีต่อเขา. ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยว่าเมื่อพูดอะไรกับฉันแล้วเขาไม่ถูกตำหนิ หรือวิพากย์วิจารณ์. ฉันเพียงชวนเขาคิดตรึกตรองให้หลากหลายแง่มุม. ที่สำคัญคือ. การชวนให้เขากลับมารับผิดชอบต่อตัวเองในทุกๆ เรื่อง. แทนการโยนทุกเรื่องไปให้คนอื่นรับผิดชอบ. (ซึ่งกว่าจะพาเขาเดินมาจุดนนี้ได้เหนื่อยเอาการ)
สิ่งพิสูจน์สมมติฐานข้างต้นคือ ในวันสุดท้ายที่พบกัน. เขาพูดบางอย่างให้ฉันฟัง. เกี่ยวกับพฤติกรรมบริการของบุคลากรในหอผู้ป่วย. เป็นข้อมูลเชิงลบซะด้วย. แล้วเขาก็ปลอดภัยอีกรอบ
ฉันปิดcourse. การบำบัดด้วยการชวนให้เขาเห็นความจริงอีกข้อหนึ่งว่า เมื่อเขากล้บไปบ้าน ไปทำงาน. ทุกอย่างที่นั่นจะเหมือนเดิม. ซึ่งนั่นเป็นโจทย์ที่เขาต้องพาตัวเองผ่านให้ได้. นักจิตวิทยา. พยาบาลจะไม่ได้ตามไปเจ้าใจคุณ. หรือคอยให้การสนับสนุนคุณ. โอ....มันเป็นความตริงที่ฟังดูโหดเอาการ. แต่มันคือความจริง
ฐานการคิดของการทำงานในขั้นนี้คือ. การพาเขาเข้าสู่โลกของความจริง.
เมื่อถึงเรื่องนี้ฉันเห็นแววหวั่นไหวปรากฏขึ้น เขาเริ่มพูดถึงการติดต่อกลับมายังฉันว่าจะทำได้ยังไงบ้าง. และท้ายที่สุดฉันเชียร์ให้เขาลองอยู่ด้วยตัวเอง. เพราะที่ผ่านมาเขากล้าหาญมาแล้วระดับหนึ่ง
ความกล้าหาญ คำนี้ช่างดูห่างไกลหากเราไม่ใช่นักรบในสงคราม.หรือการทำหน้าที่เสี่ยงๆ แต่แท้จริงแล้วการดำเนินชีวิตประจำวัน. ล้วนต้องใช้ความกล้าหาญอยู่บ่อยๆ. เช่นการทำสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นชิน. การเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องเล็กๆ น้อย ๆ. หรือกระทั่งการกล้ายืดยกว่า เรานี่แหละเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด. ที่กล้าหาญที่สุดคือการกล้ายอมรับและอยู่กับสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของตน. เมื่อกล่ายอมรับนั่นคือความตระหนักรู้ในตน. และหากเรามีสติปัญญาพอ(ซึ่งทุกคนมี). เราก็จะอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เมื่อวันหนึ่งเรากล้าหาญ. วันต่อๆ. ไปเราก็กล้าหาญได้อีก. และขณะเดียวกันเราก็กลับขลาดกลัวได้เช่นกัน
นี่คือความจริงแท้ที่มนุษย์ต้องเข้าใจะยอมรับ. ในโลกนี่ไม่มีอะไรคงที่ถาวร
ไม่มีความเห็น