แม่.. เรากลับบ้านกันเถอะ


วันนี้ผมรับผู้ป่วยใหม่คนหนึ่ง เป็นคุณป้าอายุ ๘๘ ปี ลูกชายกับลูกสาวอีกสองคนช่วยกันเข็นรถเข็นเข้ามาในห้อง

คุณป้ามีอาการแขนขาอ่อนแรงไปข้างหนึ่ง หลงสับสนมาสองสัปดาห์ ตรวจพบก้อนเนื้อในสมองหลายก้อน วินิจฉัยว่า น่าจะเป็นมะเร็งลุกลามมาจากที่ใดสักแห่ง แต่ยังหาไม่พบ

ก่อนมาพบผม ผู้ป่วยและลูกๆได้พบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีบำบัด และปฏิเสธการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อมาตรวจยืนยันการเป็นมะเร็งและยาเคมีบำบัดหรือคีโมมาแล้ว ที่มาพบผม เพื่อคุยกันเรื่องการฉายรังสีบรรเทาอาการ

คำถามแรกที่ผมถามผู้ป่วย "คุณป้าเป็นยังไง"

แกตอบผมว่า "เจ็บ แน่นหัวใจ" แล้วเอามือชี้ตรงหน้าอกซ้ายของตัวเอง

ผมร้องอ้าวในใจ เพราะมันคนละเรื่องกับที่ผมถูกปรึกษา แต่ก็ยังคุยเรื่องนั้นต่อจนรู้ว่า คุณป้าเพิ่งจะเริ่มเป็น และมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย ผม..ซักประวัติ..จนคิดว่าอาการนี้น่าจะเกิดจากการรับประทานยาสเตียรอยด์เพื่อลดภาวะสมองบวม จึงบอกผู้ป่วยไปว่า "เดี๋ยวหมอจะสั่งยาให้" ก่อนวกกลับมาเรื่องที่ผมถูกปรึกษา "แต่หมอเขาบอกว่าป้าแขนขาไม่มีแรงและก็จำอะไรไม่ค่อยได้นะ ป้าเป็นหรืิอเปล่า"

ผู้ป่วยส่ายหน้า เอาละสิ

ผมก็เลยลองให้แกไล่ชื่อลูกตัวเอง ปรากฏว่า ถูกสองผิดหนึ่ง แล้วแก้ตัวว่า "ก็ลูกมันมาก จำไม่หมดหรอก" 

ผมก็ว่าจริง เท่าที่ประเมินดูแล้ว ผู้ป่วยหลงไม่มาก แต่บรรดาลูกๆยืนยันว่า จะหลงเป็นพักๆ โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืน จะพูดไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว พูดอะไรแปลกๆ ซึ่งอาการนี้เกิดจากรอยโรคในสมองได้

ผมจึงอธิบายรายละเอียดเรื่องประโยชน์ ผลข้างเคียงและขั้นตอนการฉายรังสี อาการที่อาจจะเกิดถ้าไม่ฉายรังสี ให้ลูกๆของคุณป้าฟังเป็นส่วนใหญ่ คุณป้าก็นั่งมองหน้าลูกกับผมไปเรื่อยๆ พอผมแกล้งถามว่า "ป้าฟังผมรู้เรื่องมั้ย" แกก็พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนาเลย

ผมบอกลูกๆผู้ป่วยว่า มีทางเลือกหลายทางในกรณีแบบนี้ คือมีทั้งฉายรังสีไปเลยโดยที่ไม่รู้ผลชิ้นเนื้อ รอผ่าตัดให้รู้ผลชิ้นเนื้อแน่ๆก่อนแล้วค่อยฉาย ไปจนถึงไม่ฉายรังสีเลย รักษาแต่ตามอาการ โดยบอกข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีให้ฟัง ผมเข้าประเด็นว่า "ผมเข้าใจว่า การตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ง่ายนัก แต่อยากให้ลองคิดดู มีอะไรสงสัยก็ให้ถามหมอ"

ลูกชายผู้ป่วยถามผมทันทีว่า "ถ้าเลือกไม่ฉายแสง แม่จะเป็นยังไง" 

ผมตอบว่า "เรื่องนั้นสำคัญมาก ปกติโดยทั่วไป ถ้าคนไข้สภาพแบบนี้ ไม่ทำอะไรเลยก็ ๑ เดือน ถ้าให้ยาลดสมองบวมก็ ๒ เดือน แต่ถ้าฉายแสงก็อาจจะได้ ๓ เดือน" ผมบอกตัวเลขคร่าวๆ พูดต่อหน้าคุณป้า และคอยสังเกตสีหน้าของทั้งคุณป้าและลูกๆ คุณป้าไม่มีสีหน้าอะไร ยังคงนั่งมองหน้าผมกับลูกเหมือนเดิม

ลูกถามผมว่า "แกจะปวดทรมานมั้ย"

ผมตอบว่า "ไม่แน่ แต่เท่าที่ตรวจมาทั้งหมด น่าจะไม่ปวด" เพราะผลการตรวจผู้ป่วยยังไม่มีการลุกลามไปกระดูกที่เป็นสาเหตุความปวดมากที่สุด "แต่ผมเป็นห่วงเรื่องเหนื่อยหอบมากกว่า" เพราะผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สงสัยรอยโรคในปอด "แต่ยังไง ถ้ามีอาการปวด หมอคิดว่าเราเอาอยู่" ผมสร้างความมั่นใจให้ลูกคุณป้า

ลูกๆคุณป้าถามผมอีกหลายคำถาม แล้วก็ถึงเวลาสำคัญ เขาพยักหน้าถามกันทีละคน ลูกสาวคนแรกบอกว่า "ไม่ฉาย" แล้วหันหน้าไปร้องไห้ด้านหลังคุณป้า ลูกสาวอีกคนพูดอะไร ผมไม่ทันสังเกต เพราะผมมัวแต่จ้องหน้าคุณป้ากับลูกสาวที่ร้องไห้อยู่ แต่ปฏิกิริยาของลูกชายคนเดียวนั้น ทำให้ผมต้องนั่งนิ่ง

เขาค่อยๆเดินเข้ามาตรงหน้าคุณแม่ของเขาที่นั่งอยู่บนรถเข็น โน้มตัวก้มหัวลงจนหน้าชิดกัน แล้วพูดว่า "แม่..เรากลับบ้านกันเถอะ" แล้วสวมกอดกัน ทุกคนร้องไห้ รวมทั้งคุณป้าและตัวผมด้วย

คุณป้าพูดว่า "เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้แหละ ชอบทำอย่างนี้ เขารักแม่ของเขามาก" 

ไม่ต้องมีคำยืนยันจากคุณป้าก็ได้ เพราะภาพตรงหน้ามันสะท้อนชัดเจน ความรักความผูกพันของแม่กับลูก 

ผมพูดต่อไปว่า "ผมยอมรับการตัดสินใจนี่ แต่ผมจะต้องมั่นใจก่อนว่า ที่ไม่ฉายแสงนี่ ได้เข้าใจสิ่งที่ผมพูดดีแล้ว ไม่ใช่ว่า ฟังผมไม่เข้าใจ หรือ ตัดสินใจมาก่อนแล้วยังไงก็ไม่ฉาย" ทุกคนพยักหน้าว่าเข้าใจผมดี

ผมอธิบายเรื่องการรักษาตามอาการต่อซึ่งมีความสำคัญมาก และบอกว่า ยังคงมีนัดไว้ก่อน เผื่อต้องปรับยา และจะเขียนรายละเอียดสิ่งเราคุยกันวันนี้ เพื่อให้นำไปให้โรงพยาบาลใกล้บ้านถ้าจำเป็น และถ้าเปลี่ยนใจเพราะอาการแย่มากๆ ก็ให้โทรศัพท์มาบอก

มาถึงตอนลากัน ลูกชายบอกแม่ตัวเองว่า "แม่ ลาหมอก่อน"

ผมมองหน้าคุณป้า เห็นภาพของหญิงชราธรรมดาๆคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น ดูหลงบ้าง แต่ถึงจะหลงลืมอย่างไร ความเป็นแม่ที่รักลูกมันฉายชัดในแววตาคู่นั้น ผมจึงพูดขึ้นว่า "คุณป้าเลี้ยงลูกมาดีนะครับ.." แล้วก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่เอามือไปจับแขนทั้งสองข้างของคุณป้าที่ยื่นมาให้ผมเช่นกัน 

 

หมายเลขบันทึก: 559022เขียนเมื่อ 13 มกราคม 2014 21:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มกราคม 2014 21:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

คิดถึงคุณหมอเต็มศักดิ์ค่ะ ท่านคงเหนื่อยหัวใจด้วยความเต็มใจที่ต้องทำงานแบบนี้ค่ะ

บางครั้งความสุขในความทุกข์ก็ยากจะทำใจนะคะ

ทางเลือกที่เลือกยากที่สุดมันบีบหัวใจนะคะ

ทุกๆ วันเราจึงควรทำร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง เผื่อว่าจะไม่ต้องมีทางเลือกแบบนี้ค่ะ

แต่หากต้องเลือก...ก็ต้องทำใจค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณหมอ และทุกๆ ชีวิตค่ะ

1 ทางเลือกที่ควรใส่ใจตัวเอง...ทุกๆ คนรู้ แต่มักจะลืมค่ะ

อ่านแล้วน้ำตาซึมไปด้วย คิดว่าถึงคุณป้าจะมีเวลาอีกไม่มาก แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นเวลาแห่งคุณภาพนะคะ ได้อยู่ในที่ที่ตัวเองรักกับคนที่รัก มากกว่าใช้เวลา 2-3 เดือนเทียวไปเทียวมาโรงพยาบาล เคารพและเข้าใจลูกๆบ้านนี้ค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ที่เอาเรื่องที่น่าคิดนี้มาเล่า อยากให้อาจารย์เอาไปลงเว็บบอร์ดคณะแพทย์ หรือลงในข่าวคณะแพทย์บ้างนะคะ คนโรงพยาบาลถ้าได้อ่านเรื่องแบบนี้บ้างก็ช่วยให้ได้ฝึกความคิดให้รอบด้านเหมือนกันนะคะ

  • ขอบคุณครับ อาหารน่ารับประทานมาก ดูเป็นอาหารสุขภาพมากเลยนะครับ
  • ผมต้องอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้งครับ เข้าใจเลยว่า มันยาก แต่ก็ไม่สามารถผลัดวันไปก่อนได้

  • ผมก็เชื่ออย่างนั้นครับ คุณป้าเลี้ยงลูกมาดี ผมว่านี่จะเป็นทุนสำคัญที่จะช่วยให้คุณป้าเผชิญกับภาวะวิกฤตนี้ได้อย่างดี ผมเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรมครับ
  • ผมเป็นโรคแพ้เว็บบอร์ดครับคุณโอ๋ และผมก็คิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่พวกเราทำกันอยู่ทุกวัน เพียงแต่ไม่ค่อยเอามาเขียนเท่านั้นเองครับ
  • ถือ ว่าคุณป้าโชคดี ที่มีลูกที่น่ารักคิดว่าช่วงสุดท้ายของชีวิตคุณป้าคงจากไปโดยไม่โดดเดี่ยวและอยู่ท่ามกลางคนที่รัก และโชคดีที่พบอาจารย์ที่ให้ข้อมูลอย่างกระจ่าง เพราะบ้างครั้งผู้ป่วยที่กลับบ้านไปยัง งง กับสิ่งที่ หมอผู้รักษาให้ข้อมูล
  • เห็นด้วยกับการตัดสินใจของลูกคุณป้านะค่ะ เพราะถ้ามาโรงพยาบาลก็ต้องเหนื่อยจากการเดินทาง ต้องมารอปฏิบัติตามขั้นตอนการรักษาบางครั้งอยาก นอน สบายๆ เงียบๆ และวิธีการรักษาก็อาจมีการเจาะที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด
  • ปัญหาที่ไปพบจากการเยี่ยมบ้านคือ ผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นก้อนเนื้อ แต่ ยังไม่แน่ชัด มีอาการ หลงๆ แต่อยู่บ้านคนเดียวทำให้ ทีมต้องค้นหาผู้ดูแล

ไม่ได้ตั้งใจมาอ่าน

"แต่อ่านแล้วน้ำตาจะไหล"

ขอบคุณพี่เต็มที่เขียนให้อ่าน

..

..

ตั้งใจมาขอให้ไปเยี่ยมนิสิตครับ

เป็นบันทึกปิดที่ผมประทับใจในส่วนท้ายครับ

ถ้าไม่รบกวนมากเกินไป

กรุณาไปให้ความเห็นที่นั้นหน่อยนะครับ

สรุปการออกชุมชน ส่วน"ชุมชนให้อะไรแก่ฉัน"

ขอบคุณครับ

  • ทราบมาว่า ผู้ป่วยกลับไปอยู่บ้าน ก็ยิ้มแย้มแต่มใสดี ผมก็ดีใจด้วยครับ

  • ผมห่่างหายการออกชุมชนไปเป็ฯปีแล้วนะครับ แต่ก็ไปเยี่ยมน้องๆให้แล้ว

-โดนมากค่ะอาจารย์ อ่านแล้วน้ำตาเอ่อ...คนไข้และครอบครัวโชคดีที่ได้เจอคุณหมอที่เข้าใจ ถ้ามีการรับช่วงต่อที่ดีในสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน หรือแม้แต่ในชุมชนคงจะดีเป็นที่สุดค่ะ

-ขอแชร์ไว้ในFB : Nan_Palliative care Network นะคะ ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท