ไม่มีที่ไหนเหมือนนอร์เวย์ (Nowhere Like Norway) - ตอนที่ 2
เครื่องลงจอดที่สนามบินการ์เดอมูน (Gardermoen) ประมาณเจ็ดโมงเช้า การเข้าไปในเมืองออสโลมีสามวิธีด้วยกัน คือ Taxi, รถไฟ Express ของสนามบิน และรถไฟทั่วไป (Local Train) ปรึกษากันแล้วตกลงเลือกใช้ Local Train เพราะนอกจากจะถูกสุดแล้วเวลาในการเดินทางก็ไม่ได้แตกต่างจาก Express Train แต่อย่างใด ค่าตั๋วรถไฟคนละ 90 NOK หรือประมาณ 500 บาท การเดินทางใช้เวลาแค่ 20 นาที ช่วงที่พักอยู่ในออสโลนี้ ผมจองเป็นอพาร์ตเม้นท์สองห้องนอนเอาไว้ เลือกเพราะเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าใดนัก อีกทั้งราคาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากโรงแรมในแถบนี้เท่าไหร่ เพียงแต่ไม่มีการทำห้องให้ประจำวันเท่านั้น แต่ก็มี Facility ต่างๆ ให้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องครัว เครื่องล้างจาน เครื่องซักผ้า เรียกได้ว่าสะดวกสบายกว่าอยู่โรงแรมมาก อพาร์ตเม้นท์ที่นี่เท่าที่สังเกตุดูผู้คนคงชอบออกมานั่งผึ่งแดดรับลมที่ระเบียงกัน ห้องที่ผมพักอยู่ชั้นบนสุด (ชั้นสิบ) ทั้งหนาวทั้งเสียวไม่กล้าออกมาที่ระเบียงเลย
เป็นอพาร์ตเม้นท์ทรงนี้ แต่เป็นคนละอาคารกัน
ระเบียงยื่นออกมา น่าหวาดเสียว
มีห้องนั่งเล่นห้องกินข้าวอยู่ตรงกลาง ส่วนสองข้างเป็นห้องนอน (เล็กๆ) 
มุมสำหรับทำครัว 
ผมพักที่นี่ 3 วันค่าเช่าอพาร์เม้นท์รวม 4344 NOK หรือประมาณ 24,000 บาท ฟังแล้วอย่าเพิ่งตกใจนะครับ เพราะผมไปกันสี่คน ถ้าพักโรงแรมในออสโลที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ 2 ห้อง รับรองคืนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 8,000 – 10,000 บาทแน่ๆ นี่แหละครับที่นักเดินทางกลัวมากเวลามาประเทศทางแถบสแกนดิเนเวีย เพราะค่าครองชีพสูงมาก ถ้าเป็นคนหนุ่มคนสาวก็มักจะเลือกพัก Hostel มากกว่า Hotel เพราะราคาถูกกว่ามาก ซึ่งในทริปนี้ผมก็มีการจองที่พักแบบ Hostel ด้วยเช่นกัน
วันแรกที่ไปถึงใช้เวลาเดินเที่ยวในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปดูอะไรจริงจัง เท่าที่เห็นตามท้องถนนในเมืองมีจุดให้รถชาร์ตแบตเตอรี่หลายจุดเหมือนกัน คงเป็นเพราะใช้รถไฟฟ้ากันเยอะ นอกจากนั้นก็เห็นคนใช้จักรยานมากเหมือนกันแต่ยังไม่มากเท่าที่เนเธอร์แลนด์
จุดสำหรับชาร์ตไฟรถยนต์ 
คนนิยมขี่จักรยาน 
มื้อเย็นวันแรกในออสโลไม่ได้ไปกินอาหารตามร้าน พูดกันว่าไหนๆ ก็มีครัวให้แล้วน่าจะทำอาหารกินเอง แถมใต้อพาร์ตเม้นท์ (ชั้น 1) เป็นร้าน Super ด้วยก็เลยจ่ายกับข้าวกันที่นั่น ได้ปลาแซลมอนไปทำกินกับมาม่า เพราะว่าลูกชายสองคนขนมารวมกันประมาณ 50 ซองเห็นจะได้ เฉลี่ยแล้วคงต้องกินกันวันละ 4 ซองจึงจะหมด
คืนแรกที่นอนที่นั่นตอนเช้าตื่นมาต้องปรับเวลาอยู่เหมือนกันเพราะเวลาเมืองไทยเร็วกว่านอร์เวย์ 5 ชม. นอนถึงตีสาม (แปดโมงเช้าเมืองไทย) ก็ตาสว่างแล้วต้องพยายามฝืนตัวเองให้นอนต่ออีก จนกระทั่งตีห้านอนต่อไม่ไหวจึงลุกขึ้นมาชงกาแฟ กินขนมปัง ไข่ต้ม และโยเกริต์ที่ซื้อมาเมื่อคืน เช้าวันที่สองนี้ (16 พค.) จุดแรกที่ไปอยู่ไกลจากตัวเมืองออสโลค่อนข้างมาก นั่งบัสไปป้ายสุดท้ายเลย
เป็นจุดที่อยู่บนสุด ออสโลอยู่ล่างสุด 
เป็น Technical Museum ลูกสองคนเข้าไปส่วนผมและภรรยาก็เดินถ่ายรูปอยู่ข้างนอก ลืมบอกไปว่าวันนี้เราซื้อตั๋วเป็นแบบเหมารวมครับ ของลูกเป็น Oslo Pass ส่วนของผมและภรรยาเป็นตั๋วที่เรียกว่า Ruter Billett ความแตกต่างของตั๋วสองอย่างนี้ก็คือ ผมใช้บริการได้แต่เรื่องการเดินทาง จะขึ้นรถอะไรก็ได้ รถเมล์ รถรางแต่ของลูกเข้าชม Museum (ส่วนใหญ่) ได้ด้วย Oslo Pass สำหรับ 2 สองวัน ราคาใบละ 425 NOK หรือประมาณ 2,400 บาท ส่วนตั๋วเดินทางภายในเมืองของผม สำหรับใช้ 24 ชม. ใบละ 90 NOK (500 บาท)
ผมใช้ตั๋วบน ลูกใช้ Oslo Pass .jpg?1401444496)
ช่วงบ่ายไปเดินชมผลงานภาพวาดของเอ็ดเวิร์ด มันช์ งานที่โดงดังของเขาคือภาพที่ชื่อว่า The Scream มีผู้ประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 119 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,700 ล้านบาท Oh My God!
ภาพ The Scream ที่หน้าปกหนังสือ 
หลังจากนั้นก็ไปเดินที่ Peace Center ชมเรื่องการให้รางวัลโนเบล (สาขาสันติภาพ) ไป Museum of Modern Arts แล้วกลับอพาร์ตเม้นท์มาตั้งหลัก (พักเหนื่อย) ก่อนที่จะออกไปลุยต่อตอนเย็น (ค่ำ) ซึ่งภาคค่ำนี้ถือว่าเป็น Highlight ของการมาออสโลเลยทีเดียว ถึงกับกล่าวกันว่าถ้าใครมาออสโลแล้วไม่ได้ไปที่นี่ ก็ถือว่ายังมาไม่ถึงออสโลนะครับ สถานที่ที่ว่านี้คือสวนประติมากรรมวิกเกอร์แลนด์ ซึ่งผมเก็บภาพมาเยอะมาก อย่าลืมติดตามตอนต่อไปใน www.facebook.com/praponp นะครับ กดที่นี่
ความเห็น (1)
การเดินทางน่าจะสะดวก?? แต่ค่าที่พักแพงเอาการอยู่