"บุญญาบารมี" คือความสุกงอมของ "ผลของกรรมดี"
...........................................
ที่ต้องสั่งสม บ่มเพาะ ด้วยการหมั่นชำระจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ใน "กุศลธรรม"
*******************************************
พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า ผลของกรรม เป็นหนึ่ง ใน "อาจินไตย" สำหรับปุถุชนทั่วไป อย่าไปนึกคิดให้เสียเวลา
ไม่ใช่ไม่มี แต่มันซับซ้อนเกินไป ที่จะเข้าใจได้โดยง่ายๆ
แต่จะให้ผลแน่นอน เพียงแต่ไม่มีกำหนดเวลา เพราะเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ประกอบกันมากมาย หนุนเนื่องกัน อย่างไม่ขาดสาย
ที่จะบ่มเพาะ ให้ "กุศลกรรม" ต่างๆ ที่สร้างเป็น "เหตุ" ไว้ และจะพัฒนาเป็น "ปัจจัย" ใน 24 องค์ธรรม (พระอภิธรรม-คัมภีร์ปัฏฐาน) ต่อๆๆๆๆมา
เมื่อมีปัจจัยประกอบ ครบถ้วนพร้อมมูลเมื่อไหร่ ก็จะสามารถพัฒนาต่อเนื่องไปจน "สุกงอม" จนให้ผลได้ เป็นไปตามผลของกรรม นั้นๆ
สิ่งเหล่านี้อยู่ในกฎอิทัปปัจจยตา (ปัจจยาการ) ที่ทำให้เกิดสังสารวัฏฏ์ อันยาวไกล
------------------------------------------------
อุปมา...
ดั่ง ชาวนาหมั่นดูแลแปลงนาให้ดี เมล็ดข้าวพันธุ์ดีที่มีอยู่ในนา ก็จะมีโอกาสงอกงาม เจริญเติบโตอย่างเป็นปกติ และให้ผลที่พึงประสงค์ได้ เมื่อถึงเวลาอันควร
ไม่มีใครจะเร่งได้ หรือ ไม่มีใครจะได้รับผลตามที่ตัวเองมีเจตนา แต่ไม่มีปัจจัย หรือไม่พยายามสร้างปัจจัยสนับสนุน
ฉะนั้น........
--------------------------------------------
ดังนั้น ใครที่หมั่นสั่งสมความดี ปัจจัยแห่งกุศลกรรม และ กุศลธรรม ก็จะเกื้อหนุน ให้ชีวิตพัฒนาไปในทางดี โดยลำดับ
แล้ว "บุญญาบารมี" ก็ จะเกิดผลได้ในกาลนั้นๆๆๆๆ โดยลำดับ
จนกว่าจะถึง "นิพพาน" ที่เป็นการสิ้นสุดการให้ผลของ วาสนา และ บารมี
(รวมทั้งวิบาก ผลของอกุศลกรรม ฯลฯ)
เพราะไม่มีการเกิดในวัฏฏสงสาร นี้ ที่จะรองรับผลได้อีกต่อไป
แต่ถ้าตราบใดที่ยังเกิดอีก ผลของกรรม ทุกด้าน ก็จะส่งได้ต่อๆๆๆๆ ไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความเห็น