ช่วงตุลาคม-ธันวาคม 2565 นับว่าเป็นช่วงที่ชุมชนรายรอบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประสบกับอุทกภัยแสนสาหัส เรียกได้ว่า “ท่วมหนักในรอบ 10 ปี” ก็ว่าได้ ขณะที่ตัวเมืองมหาสารคาม ก็เจอชะตากรรมเดียวกัน เป็นการท่วมหนักในรอบ 40 กว่าปีเลยทีเดียว
ห้วงวิกฤตดังกล่าว ศูนย์ประสานงานเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม ผสานกำลังกับองค์กรนิสิตอย่างหลากหลาย เพื่อเดินทางไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยกลุ่มหลักๆ ที่จัดทำโครงการอย่างเป็นระบบตามขั้นตอนก็คือ คือ กลุ่มนิสิตชาวดิน (พรรคชาวดิน) และนิสิตจิตอาสา Volunteer ส่วนองค์กรอื่นๆ ก็เข้ามาผนึกกำลังต่อเนื่อง รวมถึงเมื่อสบโอกาสก็ลงพื้นที่ร่วมกัน
ก่อนลงพื้นที่ ผมมักชวนแกนนำนิสิตมาพบปะพูดคุย (เตรียมความพร้อม) เสมอ จนบางคนเคยตั้งคำถามว่า “จำเป็นแค่ไหนถึงต้องมีกระบวนการก่อนออกไปยังพื้นที่” -
ระยะแรกๆ ผมสร้างกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ด้วยตนเอง แต่ระยะๆ หลังๆ ผมจะยกเวที หรือกระบวนการให้นิสิตขับเคลื่อนกันเอง เพื่อฝึกให้นิสิตได้เรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำบนฐานคิด “จิตอาสา” หรือ “อาสาสมัคร” โดยมีเรื่องภัยพิบัติเป็นโจทย์ของการเรียนรู้
ซึ่งผมก็ไม่ได้หนีหายไปไหน แต่ยังคงอยู่ข้างๆ ในมิติ “พูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่เป็นเพื่อน”
ประเด็นที่นำมาโสเหล่เตรียมความพร้อมฯ ส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็น ภาพรวมภูมิศาสตร์ของน้ำ สถานการณ์จริงของหมู่บ้าน ความต้องการขั้นฟื้นฐานของหมู่บ้าน ระบบการจัดการภัยพิบัติของหมู่บ้าน การคมนาคมของหมู่บ้านกับสังคมภายนอก การแบ่งหน้าที่การทำงาน แนวปฏิบัติ-การวางตัวเมื่อต้องลงชุมชน ฯลฯ
เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรม ผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องการประเมินผลการเรียนรู้ของนิสิตมากเป็นพิเศษ โดยตั้งคำถามกับนิสิตว่า “ได้เรียนรู้อะไร-เห็นอะไรบ้าง” บ่อยครั้งก็พูดคุยกันง่ายๆ ถามคำ-ตอบคำ ขณะที่บางครั้งอยู่ในรูปเวทีและกึ่งเวที หรือกระทั่งการสะท้อนผ่านบัตรคำ ซึ่งมีทั้งสดๆ เมื่อกิจกรรมสิ้นสุดลง หรือแม้แต่ให้ผ่านไปสักระยะแล้วค่อยประเมินผลการเรียนรู้ที่ว่านี้
และจากนี้ไป คือ ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่นิสิตได้สะท้อนกลับมายังผม มีทั้งที่เป็นกลุ่มและรายบุคคล
ครับ - ทำแล้วก็ชวนนิสิตทบทวนตัวเองว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง อย่างน้อยก็พาให้นิสิต “กล้บเข้าสู่ตัวเอง”
ไม่มีความเห็น