จากบันทึกที่แล้ว ที่นี่ อีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมอยากนำมาบอกเล่าไว้ ณ ที่ตรงนี้ นั่นคือกระบวนการสร้างจิตสำนึกและความผูกพันของนักเรียนที่มีต่อชุมชน ผ่านกระบวนการ “เขียน-วาดภาพ” และ “เล่าเรื่อง”
ผมยืนยันกับนิสิตว่ากระบวนดังกล่าว เป็นหนึ่งในวิธีบ่มเพาะเรื่องความผูกพันที่มีต่อชุมชนอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับการเป็นกระบวนการที่ช่วยให้นักเรียนได้ “ทบทวนตัวเอง” หรือแม้แต่การ “สำรวจต้นทุนชีวิต” ของนักเรียนเกี่ยวกับบริบทของหมู่บ้าน-วัด-โรงเรียน ตามหลัก “บวร” ที่จะช่วยให้นิสิตมองเห็น “มุมมอง-ทัศนคติ” ของนักเรียนที่มีต่อเรื่องดังกล่าว
เช่นเดียวกับการฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ – การสื่อสารสร้างสรรค์ผ่านศิลปะที่หมายถึง “วรรณกรรม-วรรณศิลป์” รวมถึง “ทัศนศิลป์” ที่จะฟักตัวก่อเกิดอยู่ในตัวตนของนักเรียน
ด้วยเหตุที่ทั้งสองกิจกรรม จำต้องใช้เวลาพอสมควร จะทั้งในแง่ของการเก็บข้อมูลและถ่ายทอดออกมาเป็นศิลปะ ผมและนิสิตจึงประสานงานให้ทางโรงเรียนได้ตระเตรียมล่วงหน้า 3-4 วัน แต่เป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ภายในโรงเรียนเป็นหลัก อันหมายถึง “เขียนเรื่อง” และ “วาดภาพ” ที่โรงเรียน มิใช่นำกลับไปทำเป็น “การบ้าน” ที่บ้าน
เหตุที่ไม่อยากให้นักเรียนนำกลับไปทำที่บ้าน ผมมีเหตุผลชัดเจน กล่าวคือ ผมอยากให้นักเรียนได้ลงมือทำเรื่องนี้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมี “พี่เลี้ยงคอยช่วยคิด-ช่วยเขียน-ช่วยวาด” เสมือนการฝึกให้นักเรียนมีทักษะในการ “เสาะหาข้อมูล” (ทักษะการเรียนรู้) ต่างๆ ผ่านคนใกล้ตัว ทั้งที่เป็นคนในครัวเรือน คนในชุมชน รวมถึงคณะครู เพื่อนๆ หรือแม้แต่ท้าทายการสังเกตเรื่องราวผ่านเหตุการณ์จริงในชุมชนได้ด้วยตนเอง แล้วค่อยวิเคราะห์-สังเคราะห์-ประมวลออกมา เพื่อสื่อสารผ่านตัวหนังสือและภาพวาด
ใช่ครับ-ฟังดูเป็นวิชาการเอามากๆ แต่นั่นคือกระบวนการเรียนรู้ที่ผมแอบฝากฝังไว้ในระยะยาว มิใช่คาดหวังให้เกิดมรรคผลชั้นเลิศในช่วงของค่ายอาสาพัฒนา ซึ่งเท่าที่รับฟังจากคณะครูก็ชื่นใจเป็นที่สุด เพราะคณะครูยืนยันว่า “นักเรียนตื่นตัวกับกิจกรรมนี้มากๆ”
ผมให้คำแนะนำแก่นิสิตไปประมาณว่า ให้นักเรียนออกมาเล่าเรื่องราวที่เขาเขียนและวาด เพื่อฝึกความกล้าแสดงออกและฝึกทักษะการสื่อแก่นักเรียนไปพร้อมๆ กัน รวมถึงการย้ำว่านั่นคือกระบวนการที่นิสิตจะได้รับฟังเรื่องราวของชุมชนผ่าน “ปากคำ” ของคนในชุมชน โดยมี “นักเรียน” เป็นผู้นำสาร –
ในทำนองเดียวกัน ผมกำชับนิสิตว่า อย่าไปกำหนดกรอบอันเป็นรูปแบบหรือวิธีการนำเสนอของนักเรียน แต่ฝากให้นิสิตหารือกับคณะครูว่าจะเป็นในทิศทางใด เพราะนักเรียนควรได้รับสิทธิ์ในการกำหนดวิธีสื่อสารในแบบฉบับที่เขาถนัด-สันทัด และมีความสุขที่จะนำเสนอ หรือบอกเบ่าเรื่องราวเหล่านั้น
ผลการหารือดังกล่าวได้ข้อสรุปว่า จะให้นักเรียนออกมาอ่านข้อเขียนของตัวเองให้นิสิตและคณะครู รวมถึงผู้ปกครองได้รับฟังร่วมกัน ถ้ามีเวลาก็จะให้เล่าเรื่องราวในภาพวาด พร้อมๆ กับการนำข้อเขียนและภาพวาดทั้งหมดจัดแสดงแบบเรียบง่ายไว้ในวิถีของการออกค่ายฯ
และนี่คือส่วนหนึ่งของข้อเขียนที่นักเรียนได้ขีดเขียนขึ้น
ครับ – นี่เป็นส่วนหนึ่งจากหลายๆ เรื่องและหลายๆ บรรทัดที่ผมไม่อาจนำมาสื่อสารได้ทั้งหมด ผมไม่รู้หรอกว่าคนอื่นๆ จะเข้าในกระบวนการที่ผมออกแบบหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้จะก่อเกิดมรรคผลทั้งในระยะสั้น ระยะยาวแค่ไหน ผมพูดได้อย่างเดียวคือ “ผมมีความสุขที่ได้อ่านและได้ยินที่เด็กเล่า หรืออ่านแบบสดๆ ผ่านเวทีในค่ายเป็นที่สุด”
เด็ก ๆ รัก(ษ์)ถิ่นของจริง ;)…
สวัสดีครับ อาจารย์Wasawat Deemarn
จริงๆ ก็คือ สมุดบันทึกทั่วไป สุดแท้แต่เด็กๆ จะเลือกบันทึกเรื่องอะไรนั่นแหละครับ ส่วนเรื่องความดี เป็นแค่กรณีศึกษา ที่ชวนเด็กๆ ลองฝึกบันทึก
เป็นการฝึกให้เด็กๆ ได้สังเกตปรากฏการณ์รอบตัวในแต่ละวัน สังเกต จดจำ วิเคราะห์ ถ่ายทอด-จดบันทึกลงในสมุดฯ
หรือแม้แต่บอกเล่า -แบ่งปันร่วมกัน ครับ