ศาลาชมจันทร์..คืนวันลอยกระทง
แสงสว่างนวลชวนให้หลงใหลในท่ามกลางแมกไม้ที่มืดทะมึน แต่ก็พอมองเห็นดวงจันทร์กลมโต สุกสกาวพราวแสงลอดผ่านซุ้มไม้ ที่มองเห็นได้จากศาลาตรงนอกชานบ้าน
บรรยากาศยามนี้ดูเสมอเหมือนศาลาคนเศร้า แต่ถ้าใครได้ลองมานั่ง จะสัมผัสได้ถึงความสงบสุขและร่มเย็น อาจจะดูเงียบเชียบ แต่ก็ไม่ถึงกับเหงา เพราะมีคอมพิวเตอร์คู่กายและมีหนังสือให้อ่านได้ตลอดเวลา
ผมตั้งชื่อศาลานี้ไว้เมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา ให้ชื่อว่า” ศาลาชีวาผาสุก..”.แต่ก็ไม่สุขสักเท่าใดนัก เพราะแทบจะไม่มีเวลาได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ต่อเมื่อผ่านพ้นวัย ๖๐ มาแล้ว จึงได้รู้ว่าเกษียณเกษมสุขนั้นมีอยู่จริงๆ
ยิ่งมานั่งอยู่ ณ ศาลาแห่งนี้เป็นเวลานานๆ อ่านและเขียนหนังสืออย่างพรั่งพรู จึงได้รู้ว่าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วที่ซื้อศาลาหลังนี้ไว้ ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่ผิดที่ผิดทาง มิได้ตั้งอยู่ ณ ริมฝั่งน้ำก็ตาม
คืนนี้จึงต้องลอยกระทงในโอ่งน้ำ ปล่อยให้ศาลาทำหน้าที่พักใจ และใช้สายตาชมจันทร์ของคืนวันเพ็ญ
เกือบ ๒๐ ปีที่ศาลาทรงพื้นบ้านจากภาคเหนือ มาตั้งโดดเด่นอยู่บนชั้นสองของบ้านเล็กในป่าใหญ่ ศิลปะการสร้างศาลาไทยจากไม้สักทั้งหลัง ที่ไม่ใช้ตะปูตอก แต่สลักเข้าเหลี่ยมเจาะรูสอดไม้ได้กลมกลึงดีแท้
จริงๆ ตอนนั้น ไม่มีปัญญาหาซื้อแต่อย่างใด เพราะราคาค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลังคาก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นจึงต้องไขว่คว้าเอาไว้ จากนั้นก็ขนย้ายขึ้นมาอย่างถูลู่ถูกัง
เรื่องเดิมมีอยู่ว่า พี่สาวซื้อศาลาหลังนี้จากงานออกร้านที่เมืองทองธานี นำมาไว้ในใจกลางห้องหรูของบ้านจัดสรร ใช้สำหรับนั่งและนอนดูทีวีอย่างมีความสุขมากมายอยู่หลายราตรีกาล
วันหนึ่ง พี่สาวรู้สึกได้ว่าอยู่เมืองไทยไม่สนุก ขอไปเสวยสุขอยู่อเมริกาจะดีกว่า จึงยกศาลาไทยใส่รถบรรทุกพร้อมหาช่างไม้มืออาชีพติดรถมาด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตั้ง
กว่าจะชักรอกขึ้นบ้านได้แต่ละชิ้น ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน จากนั้นช่างก็ประกอบร่างจนเป็นศาลารูปทรงเดิม เพิ่มเติมคือค่าขนส่ง แล้วผมก็ส่งเงินงวดให้พี่สาวอยู่หลายเดือน กว่าจะได้นั่งอย่างโล่งใจก็เล่นเอาเหนื่อยไปเหมือนกัน
ศาลาชีวาผาสุกของผม บางค่ำคืนก็ดูเหมือนมีชีวิตชีวา แม้ว่าจะดูเคร่งขรึมไปบ้าง อาจเป็นเพราะเขาใช้ไม้เก่าในการก่อสร้าง ผสมผสานชิ้นส่วนต่างๆอย่างหลากหลาย มองครั้งคราใดก็ให้รู้สึกชื่นชมในฝีมือช่าง
จะว่าไปแล้ว..ศาลาชมจันทร์หลังนี้ มีบุญวาสนาอยู่พอสมควร เพราะเจ้าไม่เคยตากแดดตากฝนเลย สร้างเสร็จก็ไปอยู่ห้องแอร์ที่เมืองทอง จากนั้นก็มาอยู่ในห้องบ้านจัดสรร ท้ายที่สุดก็มาอยู่นอกชาน ณ บ้านทุ่งดินดำ
ผมมารู้คุณค่าของศาลาไทยหลังนี้อย่างเต็มเปี่ยมก็ตอนที่เกษียณอายุราชการแล้ว ออกมาทักทายและเช็ดถูทุกวัน ประดับตกแต่งศาลาอย่างเพลิดเพลิน ถ้าศาลามีชีวิต ผมก็คิดว่า..น่าจะรำคาญผมอยู่มิใช่น้อย
แต่คืนนี้ ไม่เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ถ้าผมไม่มานั่งชมจันทร์ในคืนวันลอยกระทง ศาลาก็คงเศร้าเหงาแน่นอน...ด้วยรักและผูกพัน ยังไงผมก็ไม่ปล่อยศาลาให้อยู่ตามลำพัง เพราะนี่คือเพื่อนคู่คิด มิตรคู่เรือนของผม
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ …คืนวันเพ็ญ..เดือนสิบสอง
ไม่มีความเห็น