หนังสือ Super Thinking : The Big Book of Mental Models เขียนโดย Gabriel Weinberg และ Lauren McCann แนะนำวิธีคิดสู่การแก้ปัญหา หรือตัดสินใจ ในโลกยุค hyper-complex
แต่เมื่ออ่านแล้วผมตีความต่อ ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องคิดขึ้นมาเองลอยๆ แต่เป็นเรื่อง สะท้อนคิดจากประสบการณ์ตรง ซึ่งหมายความหนังสือเล่มนี้แนะให้คนเรามีสมรรถนะในการสะท้อนคิดขึ้นเป็นหลักการหรือโมเดล (mental model) สำหรับเอาไปใช้ตัดสินใจ หรือใช้แก้ปัญหาในโอกาสต่อไป
ซึ่งก็ตรงกับหลักการของการสั่งสมสมรรถนะอนาคต (Future Skills ของ Ehlers)
และการสะสม mental models จากการสะท้อนคิดจากประสบการณ์ ก็คือการฝึกปฏิบัติ Kolb’s Experiential Learning Cycle และ Double-loop Learning ในการดำรงชีวิต นั่นเอง ที่หนังสือบอกว่า ต้องสั่งสม tried-and-true concepts
จากหนังสือเล่มนี้ ผมได้รู้จัก “First Principle Thinking” ที่ผมใช้มาตลอดชีวิตการทำงาน แต่ไม่รู้จักชื่อ หรือไม่รู้ว่ามีหลักการอยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำ คือเมื่อเผชิญปัญหายากๆ ผมจะแยกมันออกเป็นส่วนๆ แล้วจัดการส่วนที่พอทำได้ก่อน ด้วยการหามุมมองใหม่ที่ท้าทายมุมมองเดิมๆ ที่จะนำไปสู่วิธีใหม่ในการแก้ปัญหา เมื่อจัดการส่วนที่ง่ายได้ วิธีจัดการส่วนอื่นๆ มักจะค่อยๆ ตามมาเอง วิธีการนี้ปราชญ์โบราณรู้จักมาหลายพันปี
อีกคำหนึ่งที่เพิ่งรู้จักคือ “ม่านแห่งความเขลา - the veil of ignorance” ที่แนะให้คนเราตั้งคำถามเพื่อทำความรู้จักตนเอง ว่าคนอื่นเขามองตัวเราในเรื่องนั้นๆ อย่างไร เมื่อใคร่ครวญสะท้อนคิดกับตนเองแบบนี้ม่านแห่งความเขลาที่เดิมหลงคิดว่าฉลาดจะหายไป ความเห็นแก่ตัวในเรื่องนั้นๆ จะคลายลง หลักการนี้คิดโดยนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ John Rawl เสนอในหนังสือ A Theory of Justice (1971)
ชื่อที่ถูกต้องของบันทึกนี้จึงต้องเป็น “ปฏิบัติแล้วสะท้อนคิดสู่การพัฒนาโมเดลความคิด”
วิจารณ์ พานิช
๙ มี.ค. ๖๗
ไม่มีความเห็น