ชีวิตใหม่ของทองมั่น


เมื่อพ้นท้องแม่มาแล้ว ทุกคนมีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเอง ทุกคนได้สมบัติมาจากพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย สติปัญญาและชีวิตจิตใจ แต่สมบัติอีกส่วนหนึ่ง ไม่ได้จากพ่อแม่ แต่ได้จากแหล่งอื่นๆซึ่งบางอย่างก็พอจะรู้ว่าได้มาจากไหน แต่บางอย่างก็ไม่รู้ว่าไปเอามาจากใคร

ชีวิตใหม่ของทองมั่น 

           ทองมั่น” คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนักแสดงหรือนักร้องชื่อดัง ไม่มีตัวตนในนวนิยายขายดีแต่อย่างใด เขาเป็นเพียงคนที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนเคยบอกว่า “เป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา”คนหนึ่ง เท่านั้นเอง

          เมื่อพ้นท้องแม่มาแล้ว ทุกคนมีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเอง ทุกคนได้สมบัติมาจากพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย สติปัญญาและชีวิตจิตใจ

          แต่สมบัติอีกส่วนหนึ่ง ไม่ได้จากพ่อแม่ แต่ได้จากแหล่งอื่นๆซึ่งบางอย่างก็พอจะรู้ว่าได้มาจากไหน แต่บางอย่างก็ไม่รู้ว่าไปเอามาจากใคร

          “ไอ้ทอง มัวนั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ มาช่วยแม่ทางนี้หน่อย” แม่ตะโกนโหวกเหวกมาจากในคลองหลังบ้าน

          “ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่จ้ะแม่” 

          “เอ็งจะอ่านอะไรตอนนี้ ฝนฟ้ามามืดตื๊อเอ็งไม่เห็นเหรอ” แม่ตะโกนมาอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงของแม่ขุ่นเข้มมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

          ทองมั่นรีบกระโดดลงน้ำไปยืนอยู่ตรงบริเวณน้ำตื้นใกล้ๆกับแม่ มองดูข้างฝาบ้านที่ทำจากไม้ยางหลังคามุงจาก สภาพทรุดโทรมตั้งแต่เมื่อไร เขาไม่สามารถจะรู้ได้เลย แต่ที่รู้แน่แก่ใจมาตลอดคือบ้านหลังนี้ไม่มีเสา มันตั้งอยู่บนตัวถังที่ลอยน้ำได้ ใครๆแถวนั้นจึงรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี และเรียกบ้านหลังนี้ว่าเรือนแพประตูน้ำ

          “ทำไมแพเรามันจึงเอียงล่ะแม่” ทองมั่นถาม ในขณะที่ช่วยแม่ดึงเชือกขนาดใหญ่กว่าแขนของเขา แล้วส่งปลายเชือกให้แม่พันรอบเสาปูน ซึ่งปักอยู่ในน้ำห่างจากตัวเรือนไม่มากนัก

          “ชลประทานเขาระบายน้ำออกไปน่ะสิ พอน้ำลดลงไปเรื่อยๆ แพเราก็จะเกยตื้น” แม่ตอบด้วยอาการเหนื่อยหอบ แม่คงแช่อยู่ในน้ำนานแล้ว เพื่อดึงแพให้อยู่ในจุดที่พอเหมาะก่อนพันเชือกยึดโยงกับเสาต้นสุดท้าย

          “ทำไมแม่ต้องลงมาทำตอนนี้ด้วยล่ะครับ” ทองมั่นพูด พร้อมกับแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม บรรยากาศในยามเที่ยงวันที่มีแสงแดดเจิดจ้า กำลังจะมืดมัวและสิ้นแสงไปอีกไม่กี่อึดใจ

          “พายุกำลังจะมา ถ้าเราไม่จัดแพและผูกเชือกให้ดี ลมจะตีให้แพคว่ำ มันจะลำบากกันไปใหญ่” แม่พูดพลางวักน้ำล้างหน้าตัวเอง แล้วเอามือลูบหัวลูกชายคนเดียว ที่เตรียมจะแหวกว่ายไปขึ้นฝั่ง

          “ไอ้ทอง ลงไปเล่นน้ำทำไม” เสียงพ่อตะโกนมาจากศาลาท่าน้ำที่อยู่ติดกับเรือนแพ เป็นศาลาขนาดใหญ่มาก สร้างโดยสำนักงานชลประทานที่พ่อของเขาทำงานอยู่ ตำแหน่งของพ่อมีความมั่นคง เพราะเป็นลูกจ้างประจำ ทำหน้าที่เป็นธุรการบนออฟฟิศ ช่วงพักกลางวันพ่อจะอาศัยศาลาหลังนี้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ บางวันพ่อก็เผลอหลับไปเป็นชั่วโมง

          ทองมั่นไม่ทันจะได้ตอบคำถามของพ่อ เสียงแม่ตะโกนสั่งงานมาจากในน้ำ จึงเป็นที่รู้ว่าเขาไม่ได้ซุกซนอย่างที่พ่อคิด

          “พ่อ เก็บข้าวของเถอะ”  แม่ตะโกนย้ำให้พ่อได้ยินอีกครั้ง

          พ่อรีบเดินข้ามสะพานไม้แคบๆแผ่นเดียวที่ไม่ยาวมากนัก ทอดระหว่างฝั่งพื้นดินกับลูกบวบ ที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำมามัดรวมกันสำหรับใช้เป็นทุ่นลอยน้ำ แต่แทนที่พ่อจะยัดไว้ใต้แพ พ่อกลับเอาไว้ข้างๆสำหรับก้าวขึ้นลงเรือนแพได้สะดวก สภาพลูกบวบที่เห็นจนชินตา เริ่มผุพังไปตามกาลเวลา แต่ทองมั่นก็ไม่เคยเห็นพ่อจะเปลี่ยนเลยสักครั้ง

          พ่อก้าวขึ้นแพอย่างรวดเร็วและทะมัดทะแมง ส่วนทองมั่นต้องค่อยๆปีนขึ้นตามประสาเด็กประถมปลายที่ตัวเล็กผิดปกติ เขาเห็นแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว กำลังใช้มือเอนตู้กับข้าวเพื่อจะวางราบลงกับพื้น พ่อเข้าไปที่ตู้เสื้อผ้าเอนลงเช่นเดียวกับตู้กับข้าว แม่เข้าไปช่วยประคอง ข้าวของที่อยู่ในแพมีไม่มากมายนัก ดูเหมือนจะหายวับไปกับตา นอนราบไม่ไหวติง บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ต้องการให้โดนฝน พ่อกับแม่ก็จะนำพลาสติกมาคลุมไว้

          พ่อกับแม่เอนกายเอาหลังพิงข้างฝากางแข้งขาให้เหยียดยาวเพื่อระบายความเมื้อยล้าให้หมดไป หรือไม่ก็คงเอาแรงไว้สำหรับสู้กับพายุฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

          “แม่ อย่าให้ไอ้ทองมันลงไปเล่นน้ำนะ ร่างกายมันไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่ด้วย” พ่อพูดพร้อมกับมองมาที่ลูกชาย

          “ฉันรู้หรอกน่า เมื่อกี้ก็ให้มันลงไปช่วยแป๊บเดียว กลัวจะไม่ทัน” แม่พูดไม่ทันขาดคำ เสียงลมก็พัดอื้ออีงทีละน้อย แล้วค่อยๆกรรโชกแรงคล้ายพายุหมุน เสียงหวีดหวิวของลมดังสนั่นกึกก้อง พร้อมกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหัวลืมตา มองเห็นเป็นละอองขาวมัวแทบจะมองไม่เห็นฝั่ง บดบังต้นมะม่วงและขนุนต้นใหญ่ที่อยู่ใกล้ศาลา จะเห็นเพียงยอดไม้ไหวโยกเอนไปเอนมาด้วยความแรงของฝนฟ้าคะนอง ดูน่าสะพรึงยิ่งนัก

          ทองมั่นกอดอกเพราะความเย็นยะเยือก ความหนาวระคนกับความกลัวลมพายุที่รุนแรงเริ่มจู่โจมเข้ามาจับขั้วหัวใจ ทำให้เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไม่ได้เลย

          “พ่อ ไปดูไอ้ทองมันหน่อย” แม่พูดพร้อมกับผลุนผลันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แม่ก้าวออกไปนิดนึงก็ถึงบริเวณที่ทำครัว แม่ของทองมั่นคว้ากระต่ายขูดมะพร้าว หันหน้าที่มีปลายเหล็กแบนที่มีซี่คมๆเข้าประตู ลมฝนพัดพรั่งพรูเข้ามาจนเนื้อตัวของแม่เปียกโชก

          ทองมั่นเห็นแม่พนมมือ ทำปากขมุบขมิบเหมือนสวดมนต์ เขาพยายามเงี่ยหูฟังว่าแม่พูดหรืออธิษฐานอะไร ช่วงเวลาเพียงแว๊บเดียว แม่ก็เอาผ้าขาวบางพันรอบหัวของกระต่ายขูดมะพร้าวตัวนั้น

          ทองมั่นอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามา สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของผู้เป็นพ่อ ตลอดจนลำแขนที่โอบรัดเขาอยู่มีอาการสั่นเทาเล็กน้อย เขาคิดว่าพ่อก็คงจะกลัวเหมือนกัน

          ความแรงของลมพายุที่โหมเข้าสู่เรือนแพทุกทิศทุกทาง เม็ดฝนอันหนักหน่วงทะลุหลังคาจาก ไหลนองจนเต็มพื้น ความสับสนอลหม่าน ทำให้สามคนพ่อแม่ลูกลืมความสั่นไหวของเรือนแพ ที่โยกซ้ายทีขวาทีอย่างไม่เป็นขบวน ทองมั่นคิดว่าถ้าแม่ไม่ลงน้ำไปผูกเชือกกับเสาปูน อะไรจะเกิดขึ้นตามมา

          นานนับชั่วโมงกว่าพายุจะสงบ ฝนเริ่มซาเม็ด แสงแดดค่อยๆส่องสว่างไปรอบๆเรือนแพ มองเห็นลำคลองได้ถนัดตา ทองมั่นช่วยแม่เก็บกวาดและเช็ดถู ยกตู้กับข้าวและเก็บเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พ่อยกตู้เสื้อผ้าและเลื่อนให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงานในช่วงบ่าย

          ไม่ทันที่พ่อจะเดินข้ามพ้นสะพานไปยังฝั่งตรงข้ามกับเรือนแพ แม่เดินตามไปติดๆ ทองมั่นได้ยินเสียงแม่พูดกับพ่อ

          “พ่อ เราจะอยู่แพหลังนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” แม่ถาม

          “ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวพ่อจะลองถามเจ้านายว่ามีบ้านพักว่างบ้างไหม?” พ่อตอบโดยที่ไม่หันมามองแม่เลยสักนิด เป็นอีกครั้งหนึ่งของทองมั่นที่มีความรู้สึกไม่แตกต่างจากแม่ในเวลานี้ กับคำตอบของพ่อที่เหมือนเดิม คงไม่มีความหวังแต่อย่างใด

          แต่แล้วไม่นานเกินรอ พ่อพาแม่และทองมั่น ย้ายขึ้นมาอยู่บ้านพักแบบห้องแถวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศของพ่อ สภาพห้องพักดีกว่าเรือนแพในแง่ของความปลอดภัย แต่ด้านสภาพแวดล้อมที่อยู่กันอย่างแออัด จึงดูสกปรกและไม่สุขสงบเอาเสียเลย

          ในค่ำคืนที่ทองมั่นสุดจะอดทนไหว จึงคว้าชอร์คที่หยิบมาจากห้องเรียน เขียนข้อความเอาไว้ที่ข้างฝาห้อง ด้วยลายมือตัวบรรจงมองเห็นได้อย่างชัดเจน

        “จะยิ้มสู้กับการเรียน พากเพียรเพื่อชีวิตใหม่ เป้าหมายสุดท้ายปลายทาง สักวัน ไอ้ทองมั่นจะสร้างบ้านให้พ่อกับแม่”

          ๒๐ ปีกับชีวิตในห้องแถว สิ้นสุดลงในวันที่พ่อเกษียณอายุราชการ หลุดพ้นจากตำแหน่งลูกจ้างประจำ เงินบำเหน็จที่ได้รับ ทำให้พ่อได้ปลูกบ้านหลังย่อมๆ ตรงที่ดินแปลงเล็กๆของยาย อันเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่แม่เหลืออยู่

          ทองมั่นผ่านช่วงเวลาแห่งการเป็นวัยรุ่น การหมกมุ่นอยู่กับการเรียนหนังสือ เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ ยกเว้นการพูดน้อยและไม่ชอบเข้าสังคม ประกอบกับบุคลิกที่เป็นคนผอมแห้งแรงน้อย ทำให้เพื่อนขนานนามทองมั่นให้เป็น “ทองม้วน” ที่พร้อมจะม้วนตัวกลับบ้านอยู่เสมอ และ”ทองหยิบ” ที่พร้อมจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านได้ตลอดเวลา

          ๓๐กว่าปีแล้ว ที่ทองมั่นเดินทางออกมาจากเรือนแพอันสุดแสนวิปโยค เขาไม่เคยลืมเลือนภาพในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย จวบจนถึงวันเข้ารับราชการและเลื่อนชั้นเป็นผู้บริหารระดับสูง ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกยังอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา 

          “พ่อกับแม่จำข้อความที่ผมเขียนไว้ที่ข้างฝาห้องแถวได้ไหมครับ” ทองมั่นถามในโต๊ะอาหาร ในขณะที่ทานมื้อเช้า

          “จำได้สิ ลูกทำสำเร็จแล้ว”  แม่ตอบเบาๆ

          “ขอให้พ่อกับแม่อยู่บ้านหลังนี้ของผมอย่างมีความสุข และอยู่กับผมไปนานๆนะครับ”

          ทองมั่นลุกขึ้นไปกอดแม่ ในความรู้สึกที่อยากจะบอกแม่เหลือเกินว่า เขายังจำได้ถึงเสียงลมพายุที่โหมกระหน่ำเรือนแพในบ่ายวันนั้น มันยังดังกึกก้องในหูของเขาเสมอ เหมือนฝันร้ายที่เข้ามารบกวนและท้าทายให้ทองมั่นต่อสู้เพื่อก้าวข้ามผ่านอุปสรรคขวากหนาม ทำให้หยดน้ำตาอุ่นๆต้องไหลรินรดแขนของแม่ เหมือนแม่จะเข้าใจความรู้สึกส่วนลึกของทองมั่นเป็นอย่างดี

          “ลืมมันไปเถอะลูก เรื่องร้ายๆมันผ่านไปแล้ว จงสร้างชีวิตใหม่ให้ตัวเองเถอะ”

          “ครับแม่”

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 717994เขียนเมื่อ 26 เมษายน 2024 14:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 เมษายน 2024 14:39 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท