บทเรียนชีวิต


เมื่อทุกคนมีเวลาเท่ากัน..จึงไม่ควรใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานและความรับผิดชอบ ที่ต้องอาศัยเงื่อนปมแห่งเวลา การแบ่งเวลาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง

บทเรียนชีวิต

  1.  ไปที่ชอบ........  

        ถ้อยคำที่พูดกันบ่อยและได้ยินอยู่บ่อยๆ ในงานที่ต้องแสดงความโศกเศร้า ไม่นึกว่าวันนี้ ฉันจะได้อ่านเรื่องราวที่เพื่อนส่งมา ให้มุมมองในอีกมิติหนึ่ง เป็นข้อคิดสะกิดใจสามารถใช้เป็นบทเรียนชีวิตได้

          เพื่อนคงเห็นว่าชีวิตและงานของฉันย่างเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว จะคิดทำอะไรก็รีบทำ ฉวยโอกาสเสียในตอนนี้ที่ยังพอมีเวลา  ถ้าหากมาคิดเสียดายในภายหลัง คงไม่มีใครสามารถช่วยอะไรใครได้

         คำว่าไปที่ชอบๆ น่าจะมีความหมายในทางสร้างสรรค์มากกว่าความขบขัน สถานที่ที่คนส่วนใหญ่ชอบก็มีสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่สำคัญของชาติและศาสนา ตลอดจนร้านอาหาร

          หากจะหมายรวมถึงสถานเริงรมย์ที่สร้างความรื่นเริงบันเทิงใจเข้าไปด้วย ก็ไม่เห็นเป็นไร คนเรามีสิทธิที่จะชื่นชอบกันได้ ตามแต่รสนิยมของแต่ละคน

          ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าเคยคิดชอบไปที่ไหนบ้าง เพราะในวัยเด็กกับครอบครัวที่มีฐานะยากจน เรื่องท่องเที่ยวไม่ต้องมาพูดถึง แทบไม่รู้จักคำว่าเที่ยวเตร่จวบจนกระทั่งวัยรุ่น อันเป็นวัยที่เรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย หลายครั้งที่ฉันตัดโอกาสตัวเอง ถ้าหากการไปเที่ยวหรือไปที่ชอบต้องเสียค่าใช้จ่าย จึงไม่อยากจะเบียดเบียนเงินทองให้พ่อแม่ของฉันต้องเดือดร้อน

          ยกเว้น...เป็นการเดินทางที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับศึกษาเล่าเรียน นั่นหมายถึงการถูกบังคับแบบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

         ความตั้งใจใฝ่ฝันว่าจะเริ่มท่องเที่ยวและไปสถานที่ชอบ ถ้าหากได้ทำงานมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ต่อเมื่ออายุ ๒๔ ปีวันที่เข้ารับราชการ ดูเหมือนวันนั้นชีวิตและงานของฉันมาลบเลือนความใฝ่ฝันจนหมดสิ้น

          หลงเหลือไว้แต่ความคิด บุคลิกและความเคยชิน ของคำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบ ติดตัวมาถึงทุกวันนี้ ยากที่จะสลัดทิ้งไป แม้ว่าฉันจะเกษียณแล้วก็ตาม จริงๆแล้วบางช่วงบางตอนของชีวิตที่ผ่านมาก็เคยมีบ้าง ที่ฉันคิดริเริ่มเรื่องการท่องเที่ยว คิดจะไปที่ชอบอยู่เหมือนกัน จำได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นชีวิตล่วงล้ำเข้าสู่วัยย่าง ๕๐ ปีแล้ว

          นั่นคือ..การท่องเที่ยวและเรียนรู้เรื่องราวในโครงการพระราชดำริ..ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นเรื่องราวที่ฉันชื่นชอบและซาบซึ้งในหัวใจทุกครั้งที่ได้ไปเยี่ยมชม เกือบ ๑๐ โครงการพระราชดำริ ที่ฉันได้ไปเห็นและสัมผัสบรรยากาศจริงๆ สร้างความรู้สึกภาคภูมิใจมิใช่น้อย ช่วยลบล้างโอกาสที่สูญเสียไปและลบล้างตราบาปที่ติดตราตรึงใจฉันมาตลอดชีวิต

          จึงถือเป็นบทเรียนชีวิตของฉัน...และต่อจากนี้เป็นต้นไป ไม่ควรต้องรออะไรอีกแล้ว กับการท่องเที่ยวหรือเดินทางไปยังสถานที่ชอบ เพราะอนาคตข้างหน้ามันจะมีโอกาสอยู่จริงหรือเปล่า ก็ไม่สามารถจะรู้ได้.. ณ ปัจจุบัน..หรือช่วงเวลานี้ที่เหลืออยู่สำคัญที่สุด ทั้งเงื่อนเวลาและสุขภาพร่างกายยังแข็งแรง พอที่จะเขียนเรื่องสั้นและเล่าให้ลูกหลานฟัง ว่าทำไมถึงชอบไปยังที่แห่งนั้น..... 

๒.   บริหารจัดการเวลา.....

         ฉันไม่เคยพูดหรือแม้แต่จะคิด หากทำอะไรไม่ได้หรือทำไม่ทัน รวมทั้งไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วโยนความผิดไปให้ “เวลา” โดยกล่าวอ้างหรือคิดในใจว่า..ก็ไม่มีเวลา..เข้าใจหรือเปล่า....

          ละอายใจที่จะพูดถึง เพราะในความเป็นจริงมีเวลาเหลือเฟือ เหลือมากมายกว่าเมื่อก่อน จะด้วยงานหรือสังขารก็ตาม เวลามีอยู่ข้างกายและเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ เวลา..ช่วยให้ฉันคิดเรื่องงานและผลักดันให้ทำงานสำเร็จ เมื่อนึกย้อนกลับไป ให้รู้สึกสำนึกถึงคุณค่าของเวลา ใช้จนคุ้มค่าเกินคำบรรยายจริงๆ

          ความตระหนักว่า”เวลามีค่า” ช่วยสร้างคุณลักษณะที่ดีแก่ชีวิตจิตใจ ฝึกวินัยขั้นพื้นฐาน ที่จะไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่เป็นคนทอดธุระ หรือฆ่าเวลาไปวันๆ บางครั้งยังคิดว่า..เวลา..มีความรู้สึก..เหมือนมีชีวิต อย่าได้คับข้องใจหรือบาดหมางกับเวลาอย่างเด็ดขาด เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว..เราได้ทำอะไรไว้บ้าง..ลองคิดดู เพราะเวลาจะไม่หวนกลับคืนมาอย่างเด็ดขาด

          อย่าลืมว่า..เวลา..ก็มีความเป็นตัวของตัวเองเหมือนกัน มีความมั่นคง นิ่งและเยือกเย็น ใครจะรีบเร่งอย่างไร ก็ยังคงเส้นคงวา เรานี่แหละที่ต้องอดทนและรอคอย

          เวลา..ให้โอกาสและความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน แต่บางคนกลับทำโอกาสให้เป็นวิกฤต มีความคิดที่อคติกับเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่มีความทุกข์ถาโถมเข้ามา ซึ่งมักจะยาวนานกว่าความสุขเสมอ..ถ้าไม่รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์  แค่ทำความรู้จักกับเวลาให้มากพอ อย่าเห็นความสำคัญและตระหนักในคุณค่าแต่ปาก ทั้งที่ยังใช้เวลาอย่างฟุ้งเฟ้อและพร่ำเพรื่อ หดหู่และหงอยเหงา จมปลักจนเกินความพอดี

          เมื่อทุกคนมีเวลาเท่ากัน..จึงไม่ควรใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานและความรับผิดชอบ ที่ต้องอาศัยเงื่อนปมแห่งเวลา การแบ่งเวลาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง

          การแบ่งสัดส่วนของเวลา เพื่อใช้เวลาอย่างพอดีกับการลำดับความสำคัญก่อนหลัง เท่ากับว่าได้บริหารจัดการกับเวลา เพื่อให้เวลากับตัวเองได้พักผ่อน ทั้งกาย ใจและสมอง เวลา..ไม่เคยทำร้ายใคร ในทางกลับกัน หากเราไม่รู้จักบริหารจัดการที่ดีพอ เวลา..นี่แหละจะเป็นตัวบั่นทอนจิตใจ ให้ยุ่งยากต่อการใช้ชีวิต

          อย่างน้อย..บทเรียนเรื่องเวลา จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ตราบที่ฉันยังมีลมหายใจ ทำความเข้าใจและแบ่งปันเวลาให้ตัวเองบ้างอย่างพอดีพองาม หลังจากที่ได้พัฒนางานและองค์กร พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนาตนและครอบครัว ฉันคงต้องเหลือเวลาไว้บ้าง สำหรับสรรค์สร้างพื้นที่แห่งความสุขตามที่ฉันต้องการ

          มิใช่แค่ความสุขเท่านั้น...เวลายังช่วยเยียวยาทุกสรรพสิ่ง แม้แต่ความทุกข์..ก็สามารถรักษาได้ด้วยเวลา..จะมากหรือจะน้อยขึ้นอยู่กับว่าฉันจะเลือกใช้เวลาอย่างไร?..

          ในโลกใบนี้...ชีวิตที่มีทั้งสุขและทุกข์ มิอาจหลีกหนีพ้น แต่ฉันจะไม่รู้สึกกังวลใจ และดำรงตนอยู่ได้ในทุกสภาวะ ถ้าฉันรู้จักบริหารจัดการกับเวลา..อย่างพอเพียง 

 ๓.     สง่าและงดงามในแบบของฉัน......

          ทุกชีวิตมีจุดเปลี่ยน ฉันเองก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว รู้สึกชอกช้ำระกำใจเมื่อชีวิตในวัยเยาว์ถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น กว่าจะพลิกฟื้นคืนความรู้สึกที่ดีๆกลับมา ก็ต้องใช้ความพากเพียรพยายามอยู่หลายปี

          ฉันไม่ต้องใช้ความอดทน ไม่ต้องจมอยู่กับความระทมขมขื่นอีกต่อไป และไม่นำมาติดค้างคาใจให้เจ็บปวด ใช้ช่วงเวลาและโอกาสที่มีอยู่ตอนนั้นอย่างเต็มที่ เดินหน้าเพื่อการศึกษาเรียนรู้สู้สิ่งยาก จนเรียนสำเร็จขั้นสูงสุดที่ควรจะเป็น เหมาะสมกลมกลืนกับฐานะการเงินของครอบครัว

          เหนื่อยหลายเท่าตัวในการทำสิ่งที่สร้างสรรค์เพื่อลบคำสบประมาท แต่มันก็คุ้มค่า จากวันนั้นถึงวันนี้ ฉันไม่มีสิ่งใดเลยที่ได้มาโดยง่าย จึงได้แง่มุมความคิดที่ดี ที่จะไม่คิดและพูดจาเปรียบเทียบอะไรกับใครทั้งสิ้น 

          ไม่เลย..แม้แต่ลูกของฉันเอง เพราะฉันถูกกระทำมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้น..ลูกจงโบยบินสู่ความอิสระทางความคิดเถิด ต้องการจะเรียนอะไร สนใจแบบไหน เลือกทางเดินของลูกได้เลย ฉันมีหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนเท่านั้น

          เรียนไม่เก่งและเกรดไม่ได้เลิศเลอ ฉันจะไม่ว่าอะไร ขอเพียงให้ตั้งใจเรียน และเรียนให้จบก็พอ เน้นวิชาการภาคปฏิบัติให้มาก เพราะมันจะเป็นทักษะพื้นฐานของอาชีพ ที่จะนำมาซึ่งทักษะชีวิตของลูก

         เมื่อทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกในแบบที่ไม่ต้องกดดันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีความสุขและค้นพบศักยภาพของตนเอง มองเห็นทิศทางที่จะก้าวเดินได้อย่างมั่นใจ

         สิ่งที่ฉันควรจดจำเอาไว้ก็คือ คนเราไม่เหมือนกัน มาจากพื้นฐานครอบครัวที่มีฐานะแตกต่างกัน จึงเกิดความไม่เท่าเทียมในโอกาสและปัจจัยแวดล้อม คนที่เข้าใจก็จะไม่ยอมให้เรื่องนี้เป็นปมด้อย ฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ตระหนักในข้อนี้

        ทุกวันนี้..ฉันจึงไม่เคยมีคำว่า “ปลอบใจตัวเอง”อยู่ในสมอง ด้วยสองมือและความคิดที่มุ่งมั่น จะมีก็แต่คำปลอบประโลมหัวใจของฉันเองให้มีกำลังใจ ทำตัวเองให้สดใส เพราะได้ก้าวมาไกลเกินความฝันแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 718025เขียนเมื่อ 28 เมษายน 2024 20:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน 2024 20:23 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท