หลังจากที่คุณ ตาหยู ให้เกียรติ Book tag ต่อผมตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นผมก็แวะวนเข้าออกมุมหนังสือและตู้หนังสือตนเองแทบทุกวัน เลือกเฟ้นหนังสือที่รักและชอบอยู่เป็นนาน แต่กลับพบว่าหนังสือหลายเล่มเร้นกายหายตน-ซุกซ่อนตัวอยู่มุมใดก็ไม่รู้ ... ผมภาวนาว่าอย่าหายนะ และบัดนี้ก็ยังค้นหากันไม่เจอ ! (ฮือ ๆ)
ก่อนหน้านี้, ใครต่อใครก็นำเสนอหนังสือที่แน่นด้วยสาระและวิชาการมากมายแล้ว ลองแวะมาเยี่ยมเสพสวนหนังสืออันรื่นรมย์ของผมบ้างนะครับว่าเป็นเช่นไร , เชิญครับ....
1. ทุ่งมหาราช : รื่นผู้เป็นนักรักและนักสู้แห่งคลองสวนหมาก (นครชุม)
หลายท่านมองว่า “ทุ่งมหาราช” เป็นนวนิยายรักธรรมดาทั่วไปที่ “เรียมเอง” (มาลัย ชูพินิจ) แต่งขึ้นในช่วงปี 2497 แต่ในทางสังคม นวนิยายเรื่องนี้ได้สะท้อนภาพสังคมของตำบลคลองสวนหมาก หรือนครชุมในปัจจุบันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะห้วงเวลาที่ชุนชนประสบภัยธรรมชาติและโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงวิถีชีวิตการค้าไม้และอื่น ๆ อย่างน่าสนใจ จึงเรียกได้ว่านวนิยายเรื่องนี้ได้ทำหน้าที่บันทึกภาพทางสังคมยุคหนึ่งของเมืองไทยไว้อย่าง “เนียนงาม”
ขณะที่ตัวละครเอกของเรื่อง คือ “รื่น” ก็เป็นแบบฉบับของผู้นำที่เก่ง ทระนง ไม่ก้มหัวให้อุปสรรคและความไม่ชอบธรรม เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง มีน้ำใจต่อผองมิตร รวมถึงการเป็น “นักรัก” ที่มักมีหญิงสาวมาหลงรักและพลีกายใจเป็นของรื่นอย่างไม่มีเงื่อนไขของการพันธนาการใด ๆ เพราะต่างก็รู้สึกราวกับว่า “รื่นเป็นทุ่งกว้างที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาเข้ามาพึ่งพิง”
ฉบับพิมพ์ ครั้งที่ 3 : (2513) ราคา 40 บาท โดย สนพ. ก้าวหน้า (ซื้อเก็บเมื่อ 31 ธ.ค. 2537)
นี่คือบางห้วงตอนของเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่ารื่นเป็นที่รักและปรารถนาของหญิงสาว หรือแม้แต่สะท้อนภาพความเป็น “ชายหลากรัก” ว่า
“ในโลกนี้มีเมียข้าคนเดียว คือ เอ็ง สุดใจ ผู้หญิงอื่น ๆ นอกนั้นเพียงแต่ผ่านเข้ามาในชีวิตข้าแล้วก็ผ่านไป บ้างเหมือนฝันดี บ้างเหมือนฝันร้าย เป็นเพียงอารมณ์ชั่วแล่น เกิดแล้วก็หาย ไม่มียืดเยื้อจีรังอะไรเหมือนความรักเอ็ง”
เป็นไงครับ... ถ้อยคำเหล่านี้ยุติธรรมกับ “ความเป็นหญิง” มากน้อยหรือไม่ อย่างไร ?
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 : (2518) ราคา 40 บาท โดย สนพ. เกษมบรรณกิจ (ซื้อเก็บเมื่อ 26 ธ.ค. 2545)
2. เรื่องของจันดารา : ภาพสะท้อนความรักและความใคร่ของครอบครัวที่ล่มสลายในความรัก
นานมาแล้ว นวนิยายเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่อง “ผิดศีลธรรม” แต่ผมก็อ่านนวนิยายเรื่องนี้ในสมัยที่เรียนปริญญาตรี (2534) , อ่านก่อนที่นวนิยายนี้จะถูกนำกลับมาพิมพ์เผยแพร่ใหม่และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อันโด่งดังและอื้อฉาว,
ในแวดวงวรรณกรรมได้วิจารณ์ว่า นวนิยายเรื่องนี้ถือเป็นนวนิยาย “อีโรติค” เรื่องแรกของไทย รวมถึงการเป็นนวนิยาย “เชิงจิตวิทยา” เรื่องแรกด้วยเช่นกัน แต่กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่สรุปอย่างชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แต่ที่แน่ชัดก็คือ “อุษณา เพลิงธรรม” ได้สร้างนวนิยายเรื่องนี้ได้อย่างงดงาม และตีแผ่แจกแจงความรักและความใคร่ของครอบครัวที่ขาดรักได้อย่างถึงแก่น รวมถึงการสื่อแนวคิดเรื่องผลกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะผลกรรมในทางโลกีย์และศีลธรรม
ฉบับพิมพ์ คร้งที่ 2 : (2520) โดย สนพ. ประพันธ์สาส์น (ซื้อมาเก็บไว้เมื่อ 14 ธ.ค. 2542)
นี่คือถ้อยรำพันของจันที่หวนคิดได้ในบั้นปลายที่ไม่สามารถจะมีบริบทแวดล้อมอันเต็มไปด้วยความรัก มีคนรัก มีลูก มีหลานไว้ชื่นชมและพึ่งพา ..
“พอมาตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะใช้มันเพื่อให้ต้องตามวัตถุประสงค์เพื่อการสืบพันธุ์ ผมก็ต้องใช้มันแบบผิด ๆ อีก ผิดทั้งตัวบุคคล..และผิดทั้งธรรมจริยา เพราะต้องข่มขืนเอา และผลของมันก็ช่างสาสมกับความผิดของผมนี่กระไรเลย ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทารุณจิตใจเท่าผลกรรมในครั้งนี้”
3. เพื่อนแพง : นิยายรักบริสุทธิ์สามเศร้าแห่งท้องทุ่งอันเศร้าสะเทือนใจ
เพื่อนแพง เป็นนวนิยายขนาดสั้นที่แต่งโดย “ยาขอบ” ผู้ซึ่งในวงวรรณกรรมไทยยกย่องว่าเป็นนักเขียน “ที่ไม่เคยเขียนหนังสือล่วงเกินผู้หญิง” และมีประกายสำนวนอันหวานซึ้งแบบไทย ๆ พอ ๆ กับ “ไม้เมืองเดิม” (ที่ผมชื่นชอบ)
ฉบับพิมพ์ ครั้งแรก : (2526) ราคา 45 บาท โดย สนพ. แสงแดด (ซื้อมาเก็บไว้เมื่อ 18 ธ.ค. 37)
นี่คือ..เนื้อความที่ผมประทับใจเป็นที่สุดและมีกลิ่นอายความเป็น “ไทยลูกทุ่ง” อยู่อย่างเต็มล้น
“ฉันไม่ได้รักพี่ลอ เพราะพี่ลอไม่มีเจ้าของ ฉันไม่ได้รักพี่เพราะเหตุอะไรทั้งนั้น ฉันรักพี่เพราะว่าฉันเกิดมาสำหรับพี่ ถ้าเพื่อนเขาเป็นคนดี แม้ว่าฉันตกไปเป็นน้อย ใช้ฉันให้ไถนาอย่างควาย ฉันก็ไม่ปริปาก”
“ชาติหน้าฉันจะไปตกนรกร้อยกัลป์ แสนกัลป์อย่างไรนั่นยอมแล้ว แต่ในชาตินี้ ในชาติที่ได้มาพบแพงก็จะขอเป็นผัวมัน รักมันให้สมกับที่มันรักฉันให้จงได้”
วาระนี้ขอขอบคุณ..คุณตาหยู ที่ทำให้ผมกลับไปรื้อค้นสำรวจตู้หนังสือตนเองหลังจากละเลยมาแสนนาน และขออภัยที่นำเสนอบันทึกนี้ล่าช้านัก....
โปรดติดตามตอนต่อไป .. และขออนุญาต Book tag ไปยัง อาจารย์ ปวีณา ธิติวรนันท์ นะครับ
ผมชอบอ่านหนังสือในแนวบันเทิงคดีมากกว่าที่เป็นสาระวิชาการ เพราะไหน ๆ ก็คร่ำเคร่งกับการงานมากอยู่แล้ว หากยังอ่านหนังสือประเภทนี้มีหวังหัวทิ่มหัวโตเดินซัดเซเป๋ล้มอย่างแน่นอน ... หากแต่หนังสือประเภทบันเทิงคดีที่ผมชอบอาจเป็นวรรณกรรมประเภทนวนิยายสะท้อนสังคมทั้งสิ้น (ดูสังคมจากวรรณกรรม)
“รื่นเป็นทุ่งกว้างที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาเข้ามาพึ่งพิง”
เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า..จากการท่องตำราสอบไล่ปลายเทอม ก็ทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้ามาสู่เวที"แลกเปลี่ยนเรียนรู้"แห่งนี้..ระหว่างที่รับรู้ประสบการในบล็อกนี้ก็พลอย..อารมณ์พลิ้วไหวไปกับทเพลงด้วย..ผมแนะนำให้พี่นัส..ไปฟังเพลงของต่ายอรทัย.."จะบอกใจยังไงดี"..เพลงนี้ผมชอบความงามของเนื้อเพลงครับ...ส่วนหนังสือเก่าๆชอบมากครับ ผมชอบแนวบันเทิงคดีเช่นกันครับ..
ถ้าโอกาสเหมาะและพี่ให้โอกาสผมอยากจะขอยืมอ่านบ้างครับ..
ผม..สัญญา
สวัสดีครับ อ.ลูกหว้า
คุณแผ่นดินคะ
แวะมาอ่านฉบับย่อ ของหนังสือที่คุณแผ่นดินเขียน
น่าสนใจคะ
จันดารา ...ไม่ได้อ่านคะ ดูแต่หนัง....
น้องสัญญาครับ..
วันก่อนเห็นเดินเฉียด ๆ ห้องทำงานพี่...ร้องทักก็ไม่ทัน
แต่พอทราบว่ากำลังยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวสอบ...และการฝึกงานที่รออยู่เบื้องหน้า..
ว่าง ๆ มาหยิบยืมหนังสือไปอ่านก็ได้ มีหลายประเภท การเมืองและสังคมก็พอมีบ้าง ... แต่ยืมแล้วต้องคืน นา..(ยิ้ม ๆ)
สุขกาย, สบายใจ และมีพลังในการสอบ นะครับ ..น้องรัก !
สวัสดีครับ คุณย่ามแดง
ขุดกรุออกมาให้เห็นๆเลยครับ
ผมเองก็อ่านหนังสือแนวแบบนี้บ้างครับ แต่ค่อนข้างน้อย
นักเขียนที่ผมชอบ ก็มี มาลา คำจันทร์ ประภัสสร เสวิกุล ครับที่ตามๆอ่าน
หนังสือที่คุณมนัสอ่าน ดูเก่าดี ขลังดีนะครับผม ผมไม่เคยอ่านแต่ก็ได้ดูภาพยนตร์ที่ผลิตจากวรรณกรรมเหล่านี้
ขอบคุณครับ หนังสือดีๆที่มาแนะนำกันครับ
คุณสมพร ครับ
ที่เกริ่นว่า อ่านหนังสือแต่ละประเภท สื่อให้เข้าใจถึงคนอ่านว่าเป็นคนอย่างไร แล้ว ละไว้ในฐานที่เข้าใจนั้น ตกลงหมายถึงยังไงครับ...(คงไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนหลากรัก เหมือน "รื่น" นะครับ)
ช่วงนี้ครึ้มอกครึ้มใจ แวะวนอยู่กับหนังสือในห้อง ดีใจที่มีเวลารื้นค้น..พอ ๆ กับเศร้า ๆ ซึม ๆ เมื่อรู้ว่าหนังสือบางเล่มหาไม่เจอ
แต่ที่แน่ๆ ...ตอนนี้ไม่มีเวลาไปดูแลร้านหนังสือ...ปล่อยวางให้น้อง ๆ นิสิตทำตัวเป็นเจ้าของร้านอย่างเต็มที่
มีรอยยิ้มในทุก ๆ วัน นะครับ
สวัสดีค่ะ
ตามมาอ่านหนังสือค่ะ..ไม้เมืองเดิมเบิร์ดเคยอ่านแต่แผลเก่า ส่วนยาขอบก็อ่านผู้ชนะสิบทิศ ( ซึ่งชอบบุเรงนอง ^ ^ ) ไว้ว่างๆจะลองหาอ่านดูบ้างนะคะ..
คุณดอกแก้ว ครับ
ผมไม่อยากพูดเหมือนที่ใคร ๆ ก็พูดว่า "อ่านหนังสือดีกว่าไปดูหนัง"
แต่จัน ดารา...อ่านหนังสือได้อรรถรสทั้งภาษาและจินตภาพที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง และมีรายละเอียดอันมากมายที่ในภาพยนตร์ไม่ได้สื่อสารไว้
ว่าง ๆ ก็เรียนเชิญนะครับ...ปกหนังสือปกนี้ รู้สึกจะหายากแล้วล่ะครับ ตอนนี้ที่พิมพ์ใหม่ก็มีเยอะไป แต่ผมชอบสะสมเล่มเก่า ๆ ปกเก่า ๆ ...มากกว่า
สวัสดีครับ พี่อัมพร
คุณตาหยู ครับ
ต้องเป็นหนังสือที่ประทับใจมากแน่นอนใช่มั้ยครับ...(ดูจากอายุของหนังสือ...)
ปล.ชอบภาพหน้าบล็อกครับ...แผ่นดิน + แดนไทย
สวัสดีครับ คุณเอก
ไม้เมืองเดิม..มีวรรณกรรมหลายเรื่องที่น่าสนใจและโด่งดัง ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ก็หลายเรื่องด้วยกัน แนวเรื่องก็คล้าย ๆ กัน เวียน ๆ วนอยู่แต่เรื่องรักสามเศร้า ชิงรัก หักเหลี่ยมแบบลูกทุ่ง ๆ แต่สิ่งที่พบในนวนิยายก็คือ การสะท้อนภาพสังคมชนบทของไทยที่เกี่ยวพันและเกี่ยวข้องกับท้องไร่ท้องนา และวัฒนธรรมประเพณีในเดือนต่าง ๆ ..ผมพยายามจัดเก็บไว้ทุกเรื่องเท่าที่จะทำได้ ยกเว้นขุนศึกที่มาหลายเล่ม ผมไม่ได้เก็บไว้แม้แต่เล่มเดียว
ส่วนผู้ชนะสิบทิศ ถือเป็นมรดกวรรณกรรมในสังคมไทย ที่สร้างมาประดับตู้วรรณกรรมได้อย่างงดงาม เสียดายล่าสุดที่จะถ่ายทำละคร หรือภาพยนตร์ (ผมไม่แน่ใจ) กลับเงียบหายไปเลย
ขอบคุณครับ...
หนังสือแต่ละเล่มมีอายุ (การแต่ง) ยาวนานมาก ..ทุ่งมหาราชและจันดารา ปกที่ผมนำเสนอนั้น เข้าใจว่าหาซื้อยากมากแล้ว... เคยเจอที่จตุจักรกรุงเทพฯ โก่งราคากันน่าดู (ไม่ต่ำ 200 บาท)
โชคดีผมท่องจตุจักรมานาน...เจรจาราคากับผองมิตรได้บ้าง เลยนำมาถือครองไว้ได้
บางเรื่องและบางเล่มราคาปกเพียง 5 บาทแต่นำมาขายเป็น 500 บาทก็มี...
ผมซื้อแพงสุดคือ "สงครามและสันติภาพ" ลีโอ ตอลสตอย (2 เล่ม ราคา 1,000 บาท) เป็นหนังสือต้องห้ามและหาซื้อไม่ง่ายนัก เท่าที่รู้คือพิมพ์ในประเทศไทยเพียง 2 ครั้งเท่านั้น
คุณโก๊ะ ครับ...
เมื่อไหร่จะสมัครเขียนบล็อกล่ะครับ..หรือสมัครแล้ว แต่ผมค้นไม่เจอ
.. อันที่จริงก็ดูเหมือนจะอ่านหนังสือในแนวเดียวกับที่ผมอ่านอยู่ไม่ใช่น้อย, การอ่านหนังสือก็เปลี่ยนไปตามวัยที่โตขึ้น ผมเองมัธยมอ่านบทกวี, ระยะต้นมหาวิทยาลัยก็เริ่มอ่านเรื่องสั้น, ช่วงท้ายมาอ่านนวนิยาย จากนั้นก็แตกแถวไปอ่านบทความ สารคดี ความเรียง หรือแม้แต่นิตยสาร และช่วงปี 4 ก็เริ่มเขียนบทความ สารคดีลงตีพิมพ์ พอได้เงินเรื่องละพันบาทบ้าง.. ไม่ได้บ้าง แต่ก็เลี้ยงตนเองได้ในระดับหนึ่ง
..ไพฑูรย์ ที่กล่าวถึง ใช่ ไพฑูรย์ ธัญญา หรือเปล่าครับ นักเขียนซีไรต์จากรวมเรื่องสั้นชุด "ก่อกองทราย" (ปัจจุบันสอนหนังสืออยู่ที่ ม.มหาสารคาม)
หนังสือแนวปรัชญา..เป็นอีกแนวที่ผมชื่นชอบเอามาก ๆ แต่หนังสือธรรมะยังไม่อ่านอย่างจริงจัง ซึ่งอาจจะคุ้นเคยมากับการเข้า ๆ ออกวัดเป็นประจำอยู่แล้ว เลยไม่ต่อยตื่นตัวที่จะหยิบมาอ่าน