การที่ในโลกปัจจุบันเป็นโลกของชนชั้นกลาง และในสังคมไทยก็ไม่ได้แตกต่างออกไปจากสังคมโลก ชนชั้นกลางเป็นชนชั้นที่เกิดมาพร้อมๆกับโลกสมัยใหม่ ในตะวันตกนั้นชนชั้นกลางคือกลุ่มชนในทุกสาขาอาชีพที่ไม่ได้ใช้แรงงานกายในการผลิต แต่ผลิตผลของชนชั้นกลางเกิดขึ้นโดยการใช้ความคิด มีหน้าที่หลักคือเป็นคนกลางที่ช่วยให้เกิดความชอบธรรม และธำรงรักษาระบบทางการเมือง และอุดมการณ์ การสรุปลักษณะที่ร่วมกันของชนชั้นกลางนี้ผมได้อิทธิพลจากความคิดของ Nicos Poulantzas[1] ซึ่งก็ยอมรับว่ามีกลิ่นอายของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปอย่างยิ่ง
III.i. ชนชั้นกลาง, การศึกษา, ความรู้, การเมือง และประชาธิปไตยสำหรับด้านชนชั้นกลางไทยนั้นเริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ แต่ไม่ได้มีพลวัตรมากนักเพราะสภาพทางการเมืองที่ไม่ได้เอื้อให้มีพลวัตรใดๆ ชนชั้นกลางเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นก็ด้วยนโยบายสร้างชาติของจอมพล ป. แต่ชนชั้นกลางยุคนี้ที่จอมพล ป. ต้องการนั้นต่างจากชนชั้นกลางกลุ่มเดิมคือชาวจีนที่มีฐานทางเศรษฐกิจ แต่ชนชั้นกลางใหม่ที่ “รัฐนิยม” ต้องเป็นคนไทย และกระบวนการสร้างชนชั้นกลางไทยก็ถูกนิยามโดยหลวงวิจิตรวาทการ สิ่งที่จอมพล ป. และหลวงวิจิตรวาทการวาดร่างของชนชั้นกลางไว้ก็ถูกสานต่อโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนรัตน์โดยการเน้นนโยบายให้การศึกษาแก่คนไทย โดยให้คนกลุ่มนี้ใช้ความรู้ความสามารถ ไต่เต้าทางชนชั้น และทางเศรษฐกิจ และในที่สุดชนชั้นกลางก็เริ่มมีพลวัตรทางการเมือง ชนชั้นกลางที่มั่นใจในศักยภาพทางการเมืองมีเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความรู้สึกรับผิดชอบทางสังคม ประกอบกับการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ(ที่ชนชั้นกลางมีกำลังซื้อหามาบริโภคเพิ่มขึ้น) ทำให้ชนชั้นกลางเกิดความใฝ่ฝันในประชาธิปไตยที่เป็นทฤษฎี แต่รังเกียจภาคปฏิบัติที่มีแต่การแย่งชิงผลประโยชน์ เป็นการเบี่ยงเบนไปจากประชาธิปไตยที่ชนชั้นการเรียนรู้[2]สำหรับชนชั้นกลางไทยนั้น นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เพิ่มข้ออธิบายนิยามเพิ่มไว้ว่า ชนชั้นกลางไทยนั้นไม่ได้สังกัดแวดวงปกครอง และแวดวงชาวนา เพราะชนชั้นนี้เกิดขึ้นมาอย่างชัดเจนพร้อมๆกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติของไทย ความสัมพันธ์ และปฏิสัมพันธ์ทางการเมืองของชนชั้นกลางจึงไม่ใช่ระบบเครือญาติหรือระบบอุปถัมภ์ แต่เป็นระบบพันธสัญญา ชนชั้นกลางจึงมีลักษณะที่ต้องการกฎหมายเป็นเครื่องปกป้องและฐานรับรองสิทธิทางสังคม นอกนั้นชนชั้นกลางยังอิงกับระบบตลาด ชนชั้นกลางจึงเป็นเอกเทศการสืบทอดอำนาจของชนชั้นกลางจึงเป็นเอกเทศไปด้วย พลวัตรทางสังคมของชนชั้นกลางไทยจึงมีสูง[3] ในสังเขปประวัติศาสตร์การเมืองไทยดูราวกับว่าชนชั้นกลางไทยเป็นผู้มีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างมากในสังคมไทย ซึ่งก็จริงเพราะนับแต่หลักหมายใหญ่อย่างเหตุการณ์เดือนตุลา ปี ๑๖ เป็นต้นมา หัวเรื่องใหญ่ทางการเมืองไทยก็คือชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางไทยมีนิยามในเชิงลึกอย่างไรก็น่าสนใจ แต่สำหรับผมที่น่าสนใจกว่าคือ “การเมือง” ของชนชั้นกลางไทยถูกเข้าใจอย่างไร
การเมือง ในพจนานุกรมของเปลื้อง ณ นคร ให้ความหมายว่า “การเมือง (น.) เรื่องราวเกี่ยวกับรัฐและการเกี่ยวข้องระหว่างรัฐ” ส่วน “การ(มค. การ) น. กิจการ, งาน, ธุระ, หน้าที่, สิ่งที่ทำ, คำนี้เมื่ออยู่ท้ายสมาส แปลว่า ผู้ทำ หรือช่าง เช่น กุมภการ = ผู้ทำหม้อ, ช่างหม้อ, เมื่ออยู่ต้นสมาส หมายความว่าหน้าที่ หรือ สิ่งที่ทำ เช่น การประปา การไฟฟ้า เป็นคำนำกริยาให้เป็นนาม เช่น การกิน การนอน” ส่วน “ เมือง(น.) จังหวัด; เขตแขวงที่มีที่ว่าการและหมู่บ้านราษฎรรวมกันหลายๆ อำเภอ; ประเทศ; เขต ภายในกำแพงเมือง; โลก เช่น เมืองผี” พจนานุกรม สอ เสถบุตร แปลอิงภาษาอังกฤษ ว่า “การเมือง (n. adj.) politics, especially party politics; political” ส่วน “การ (n.) activity, action, act, work, occupation, business, affair, matter; operation, performance; board” ส่วน “เมือง (n.) a city state, a free city, a principality; a country”[4] จะเห็นว่าความคิดของผู้นิยามการเมืองกระแสหลักของสังคมไทยนั้นดูจะยึดติดกับ “กิจการของเมือง” แต่ในความจริงการเมืองเป็นเรื่องทางสังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นการกำหนดมุมมองของผู้เข้าใจใน “สิ่ง” ที่เป็นการเมืองให้ต่างกัน ดังนั้นการเมืองจึงเป็นเรื่องที่มากกว่า สิ่งที่เข้าใจกันทั่วไป และผมเองก็นิยามการเมืองต่างออกไป การเมืองของผมเป็นเรื่องของ “การใช้อำนาจระหว่างซับเจคท์ต่อกัน” หรือก็คือวางฐานนิยามในเรื่องความสัมพันธ์ทางอำนาจ แต่ชนชั้นกลางทั่วไปนั้นคงเข้าใจไม่ได้แบบผม(และนักสังคมศาสตร์) ข้อสังเกตที่ชัดเจนที่สุดคือ การนำเสนอข่าวการเมืองในสื่อต่างๆของเมืองไทยที่การเมือง คือ “เรื่องของคณะผู้บริหารรัฐ” ซึ่งผมเองมองว่าการรับรู้ข่าวสารที่นำเสนอออกมาในรูปแบบนี้ทำให้แง่มุมในการมองการเมืองของประชาชนนั้นสนใจเพียงการทำงานของรัฐ และผู้มีอำนาจ ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นพวกอภิสิทธิ์ชนในระดับหนึ่ง(nearly aristocrats) ซึ่งหากการเมืองการปกครองของรัฐไทยเป็นประชาธิปไตย เรื่องการเมืองที่ชนชั้นกลาง(หรือรวมทั้งชนชั้นอื่น)บริโภคก็เป็นเพียง “เรื่องของคณะผู้บริหารรัฐ” มากกว่าที่จะมองถึงการเมืองการปกครองของรัฐไทยเป็นประชาธิปไตยโดยเห็นถึง arete ของประชาธิปไตย
ดังกล่าวมาแล้วว่าชนชั้นกลางไทยคือชนชั้นที่เปรียบเสมือนแรงผลักดันทางการเมือง การสร้างชนชั้นกลางให้เข้าใจถึง “แก่นแท้” ของประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องใหญ่ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมที่จะให้ความรู้ในเรื่องเดียวกันกับประชาชนในระดับชั้นอื่นๆด้วย แต่ ณ ที่นี้ที่ผมให้ความสำคัญกับชนชั้นกลางมากเป็นพิเศษเนื่องด้วยข้อสรุปจากทฤษฎี ๒ นคราประชาธิปไตยของ อ. อเนก เหล่าธรรมทัศน์ ข้อหนึ่ง และด้วยศักยภาพของชนชั้นกลางเองที่ถ้าหากได้รับการศึกษาที่ดีเพียงพอเกี่ยวกับประชาธิปไตยแล้ว(ผมคาดหวังว่า)จะสามารถแพร่กระจายความรู้สู่ประชาชนอื่นๆได้มากอีกข้อหนึ่ง และที่สำคัญคือหากสามารถทำให้ชนชั้นกลางรักในความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยได้แล้วนั้น การค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติมย่อมเป็นผลดีต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยต่อไปแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐไทยนั้นหากพิจารณาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน[5]ในปัจจุบันของรัฐไทย ที่เสนอวัตถุประสงค์ว่า “มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข และมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ” ได้มีการกำหนดจุดหมายซึ่งถือเป็นมาตรฐานการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์(ตามกระทรวงศึกษาธิการ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานชิ้นนี้มีดังนี้ :
ข้อ ๗. เข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย เป็นพลเมืองดี ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ข้อ ๙. รักประเทศชาติและท้องถิ่น มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามให้สังคม
ซึ่งสาระการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยนั้นถูกบรรจุเข้าในสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมโดยคาดหวังว่าจะเป็น “สาระการเรียนรู้ที่เสริมสร้างความเป็นมนุษย์ และศักยภาพพื้นฐานในการคิด และการทำงาน” โดย “ทั้งนี้ สถานศึกษาอาจจัดเวลาเรียนและกลุ่มสาระต่าง ๆ ได้ตามสภาพกลุ่มเป้าหมาย สำหรับการศึกษานอกระบบ สามารถจัดเวลาเรียนและช่วงชั้นได้ตามระดับการศึกษา” กระทรวงได้อนุญาตให้สถานศึกษาจัดเวลาเรียนให้ยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมในแต่ละชั้นปี โดยต้องจัดให้มีเวลาสำหรับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนทุกภาคเรียนตามความเหมาะสม โดยได้จัดสาระไว้ดังนี้ “ปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองที่ดี ตามกฎหมาย ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข” และ “เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” [6] สิ่งที่ผมมองเห็นคือภาพที่กว้างมาก(อาจจะ)เกินไปของประชาธิปไตยยิ่งถ้าเข้าไปศึกษาในแบบเรียนที่เขียนตามบังคับของกระทรวงฯด้วยแล้วนั้น ผมสงสัยว่าด้วยความคิดที่กว้างเช่นนี้ในภาคปฏิบัติแล้วนั้นจะทำอย่างไร ดังเห็นได้จากสิ่งที่ปรากฏในตำราแม่บทมาตรฐาน สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
III.ii. การให้ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยของไทย มีอะไรหายไปหรือไม่?
หากพิจารณาความคิดรวบยอดที่ปรากฏในตำราแม่บทมาตรฐาน สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมใน ๒ ช่วงชั้นดังนี้ [7] :
๑. การเป็นพลเมืองดีตามวิธีประชาธิปไตย ต้องเป็นผู้มีคารวะธรรม สามัคคีธรรมและปัญญาธรรม ซึ่งจะทำให้อยู่ร่วมในสังคมอย่างสมดุล(เอกรินทร์, ป. ๔ : น. ๕๘) สถานภาพ บทบาท สิทธิ และหน้าที่ของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน(เอกรินทร์, ป. ๔ : น. ๖๗)
๒. วิถีประชาธิปไตยมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคม สังคมจะสงบสุขได้ถ้าคนมีความเคารพซึ่งกันและกัน ยอมรับในความสามารถของตนและผู้อื่น(เอกรินทร์, ป. ๕ : น. ๗๘) การทำงานและอยู่ร่วมกันโดยยึดหลักการปฏิบัติตนตามสถานภาพของตนเองและผู้อื่น ย่อมทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข(เอกรินทร์, ป. ๕ : น. ๘๗)
๓. การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดีตามวิธีประชาธิปไตย จะช่วยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข(เอกรินทร์, ป. ๖ : น. ๕๒) การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองและการปฏิบัติตนตามกฎหมายจะทำให้ปฏิบัติตนตามสิทธิและหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง
๔. การปกครองแบบประชาธิปไตยคือการปกครองที่สนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ที่โดยธรรมชาติต้องการสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคและเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การดำเนินชีวิตในสังคมประชาธิปไตยต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับหลักการ และอุดมคติของประชาธิปไตย โดยยอมรับว่าทุกคนเสมอภาคกัน ต้องเคารพสิทธิของกันละกันและต้องปฏิบัติตนตามความรับผิดชอบของตนในสังคม(กระมล, ม. ๑ : น. ๑๙๖)
๕. การที่สมาชิกในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขนั้น สมาชิกต้องปฏิบัติตามกฎ กติกาของกลุ่มตั้งแต่กลุ่มเล็กไปจนกลุ่มใหญ่ จะต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด รู้จักบทบาทหน้าที่ของตน เพื่อปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสมตามกฎระเบียบ ไม่ไปละเมิดล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น ต้องมีคุณธรรมของสมาชิกที่ดี ของพลเมืองที่ดีเป็นแนวทางปฏิบัติ(กระมล, ม. ๒ : น. ๑๘๕)
๖. การเมืองการปกครองในแต่ละรัฐจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้เป็นผลมาจากการพัฒนาทางการเมืองที่แตกต่างกันของแต่ละรัฐ ระบอบการเมืองการปกครองที่สำคัญในปัจจุบันได้แก่ระบอบประชาธิปไตยและระบอบเผด็จการ ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป การเลือกระบอบการปกครองใดนั้นขึ้นอยู่กับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนในรัฐนั้น นอกจากนี้ระบบการเมืองยังแยกออกจากระบบเศรษฐกิจไม่ได้(กระมล, ม. ๓ : น. ๑๗๔)
จะเห็นลำดับขั้นที่การศึกษาของรัฐไทยปลูกฝังความคิดเกี่ยวกับการเมืองการปกครองไว้ โดยผมเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นในช่วงชั้นที่ ๒ การให้การศึกษา(ที่ผมยกมา)จะเน้นที่ตัว “พลเมือง” หรือก็คือการศึกษาพยายามสร้างพลเมืองเพื่อให้เข้าสู่ระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยเน้นที่ตัวปัจเจกชนเป็นหลัก กล่าวคือพยายามสร้างให้ปัจเจกชนกลายเป็นพลเมืองด้วยสิ่งที่เรียกว่าสิทธิ หน้าที่ และเรื่องนามธรรมอื่นๆโดยวาดหวังว่าหากพลเมืองที่ดีตามแบบประชาธิปไตย(democratic citizen)เกิดขึ้นได้(โดยอิสระต่อกัน) จะส่งผลให้พื้นที่สาธารณะที่พลเมืองที่ดีมาอยู่ด้วยกันจะเป็นสังคมการเมืองที่ดีเอง เมื่อมาถึงในช่วงชั้นที่ ๓ ก็จะเคลื่อนไปกล่าวถึงแนวคิดประชาธิปไตยว่าเป็นสิ่งที่ดี(ที่สุด) และบอกว่าสังคมการเมืองแบบนี้คือธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้แล้วความเป็นพลเมือง(ที่มี democratic citizenship)จึงถูกสร้างเพื่อนำมนุษย์เข้าสู่สังคมแบบเดียวเท่านั้นโดยเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้รูปแบบของการเมืองการปกครองอื่นแบบผ่านๆ และหยาบๆเท่านั้น โดยสุดท้ายโดยที่ไม่บอกว่าเหตุใดประชาธิปไตยจึงถูกถือว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด และทำไม่รูปแบบอื่นๆจึงไม่ได้ถูกถือให้เป็นการปกครองที่ดีบ้าง[8] ผมไม่สามารถตอบได้ว่าสิ่งที่ผมสรุปมาทั้งหมดที่ว่าประชาธิปไตยอาจไม่ใช่สังคมการเมืองที่ดีสมบูรณ์แบบนั้นเป็นข้อสรุปที่ถูกและจริงแท้แล้วหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมตอบได้คือ ณ ปัจจุบันนั้น ผมและอีกหลายร้อยล้านคนในโลกนี้ยังต้องดำรงชีวิตทางการเมืองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และด้วยเหตุนี้กระมังที่การศึกษาไทยโดยรัฐนั้นจึงเน้นหนักไปที่ประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวเสียเหลือเกิน ผมตั้งคำถามตรงนี้เลยว่า ณ ปัจจุบันนี้หากเชื่ออย่างผมว่าประชาธิปไตยคือการเผด็จการทางความคิดอย่างหนึ่งแล้ว ระบบการศึกษาไทยว่าด้วยประชาธิปไตยก็คือตัวจักรสำคัญที่ผลิตทรัพยากรบุคคลให้มีทัศนะคับแคบ และถูกเผด็จการทางความคิดไปโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่?
แต่ก่อนที่ผมจะตอบคำถาม ผมจะกล่าวถึงประชาธิปไตยต่อไปก่อนเพราะในทางหนึ่งการหาคำตอบว่าระบอบสังคมการเมืองที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับนักศึกษาปรัชญาการเมือง ผมคิดว่าใช่แน่ แต่ในอีกทางหนึ่งคำถามที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ณ ตอนนี้คือ แม้ประชาธิปไตยอาจจะยังไม่ใช่ telos (ตามความคิดที่ผมพยายามยืนยันมาตั้งแต่ต้น)แต่มนุษย์เองที่ต้องดำรงอยู่กับประชาธิปไตยนั้นต้องทำอย่างไรกับชีวิตทางการเมืองของตนต่อไป การวาดภาพสังคมประชาธิปไตยในอนาคตนั้นไม่ใช่กระทำไปเพื่อพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยคือ telos แต่สำหรับผมมันคือการยืนยันการดำรงอยู่ของสังคมของมนุษย์ที่แสดงเจตนารมณ์บางอย่าง และเจตนารมณ์นั้นก็คือความมั่นคง และพึงพอใจในระดับหนึ่งที่มนุษย์ต้องการดำรงอยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพและระดับของความรู้ที่พวกตนกำหนดขึ้นได้กันเอง
mean......
ความเชื่อของคนทั่วๆ ไป บอกว่าประชาธิปไตยดีที่สุด...
แต่พัฒนการประชาธิปไตยของไทยยังคงต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ...
ดังนั้น ประชาธิปใตยของไทยยังมิใช่ดีที่สุด...
เจริญพร
มีเรื่องจะถามท่านผู้รู้ครับ
ท่านใดทราบโปรดชี้แจ้งด้วยนะครับ
ถามว่า...องค์ความรู้ทางด้านสังคมวิทยาและมนุษย์ในระดับพื้นฐาน มีความสำคัญอย่างไรในการดำเนินช๊วิตในสังคมปัจจุบันครับ
อยากทราบ
ขอบคุณท่านที่ที่ชี้แจ้งนะครับ
ผมเคยสอนเด็ก วิชา สหวิทยาการสังคมศาสตร์ มรา ธรรมศาสตร์
เมื่อประมาณปีที่แล้วว่า
แม้คุณจะไม่ได้ใช้องค์ความรู้ในทางสังคมศาสตร์กับวิชาชีพของคุณโดยตรง (ผมรับผิดชอบสอนเด็กคณะวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์)
แต่อย่างน้อยองค์ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณ
๑. ใช้เหตุผลเป็น (มี rationality)
๒. มองปรากฏการณ์ใดๆด้วยแง่มุมที่หลากหลาย
๓. แก้ปัญหาด้วยมุมองที่หลากหลาย
๔. ครุ่นคิดว่าตนไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เป็นาวนหนึ่งของสังคม
วันหลังจะเอาเอกสารประกอบการสอนตอนนั้นมาลงไว้ก็แล้วกัน