เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมมีกิจกรรมเล็กๆให้กับตนเองเหมือนกับที่ทำมาทุกปีอย่างหนึ่งคือ นำเอาโกฏิของสางพ่อ มาดูแล รำลึกถึง และกราบไหว้ด้วยพวงมาลัยดอกไม้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็หาใช่กิจกรรมพิเศษแต่อย่างใด ผมเห็นผู้ใหญ่และคนรุ่นก่อนหน้าพากันทำอย่างนี้นับแต่ผมจำความได้
ข้างโกศของสางพ่อ มีรูปพ่อและแม่ตั้งอยู่ มีพวงมาลัยแห้งๆสองสามพวงวางอยู่ และข้างๆ มีกล่องปากกาวางอยู่ มันเป็นปากกาซึ่งไม่มีราคาค่างวดอะไร แต่ผมวางมอบเป็นเครื่องเคารพบูชาต่อครูและสางพ่อของผม เวลาที่อยากเจริญสติให้มั่นคงและสร้างพลังใจให้แก่ตนเอง รวมทั้งเมื่อพบเรื่องดีๆในชีวิตและอยากอยู่กับความรู้สึกต่อสิ่งนั้นให้มีความหมายที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการสอน การบรรยาย และการทำงานที่เกี่ยวกับการศึกษา การได้สร้างคนอื่นให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตน ผมก็จะเปิดออกมาดู ทำความสะอาด แล้วก็วางไว้ที่เดิม
ผมได้ปากกานี้เป็นรางวัลจากการนำเสนอผลการวิจัยในการประชุมนำเสนองานวิจัยวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษาทั่วประเทศ ครั้งที่ 3 เมื่อปี 2544 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งผมนำเสนอผลการวิจัยปริญญาเอก เรื่อง จิตสำนึกพลเมืองในบริบทประชาสังคมไทย ได้รางวัลดีเยี่ยมในกลุ่มสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
อันที่จริงนั้น หลังจากนำเสนอเสร็จแล้วผมก็กลับเลย ไม่ได้คาดหมายว่าจะได้รางวัลอะไร อีกทั้งอยู่ในช่วงที่ผมหกล้มหัวเข่าแตกและเข้าเฝือกที่ขาข้างหนึ่ง เวลานั่งนานๆแล้วทุกข์ทรมานเป็นที่สุด เลยก็กลับก่อน มีความสุขไปแล้วที่งานวิจัยได้รับคัดเลือกให้นำเสนอแบบบรรยายและได้เตรียมการอย่างดีที่สุด เรียกว่าประจงทำดังที่ตั้งใจหวังไปทุกประการไปแล้ว
ทางคณะผู้จัดได้ประกาศรางวัลในที่ประชุมและส่งรางวัลตามไปให้ภายหลัง เลยก็แสนจะภูมิใจ โดยเฉพาะตนเองไปจากมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเด่นในเรื่องวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข นี้เป็นสิ่งที่สังคมรู้กันโดยทั่วไป แต่ครั้งนี้ เป็นการเผยแพร่บทบาทวิชาการทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในเวทีวิชาการของประเทศ...จึงน่าภูมิใจอยู่ไม่น้อย
เป็นการได้มีส่วนร่วมเล็กๆในอีกด้านหนึ่ง ในเวทีวิชาการของคนที่มาจากทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่ก็มีนัยต่อการเติมต่อความเป็นสหวิทยาการของมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับคนอื่นๆ ผมจึงภูมิใจและมีความสุข
แต่ที่มากกว่านั้นก็คือ เมื่อผมแกะดูรางวัลและพบว่านอกเหนือจากใบประกาศนียบัตรและของที่ระลึกจากการประชุมแล้ว ปรากฏว่าเป็นปากกาด้ามหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมคิดถึงพ่อและแม่จับใจ รีบนำปากกาไปกราบรูปและโกศบรรจุกระดูกของสางพ่อ
ครอบครัวผมมีพี่น้องเยอะถึง 7 คน พ่อเป็นครูบ้านนอกและแม่ทำนา เมื่อกว่า 30 ปีล่วง ขณะที่ผมเรียนประถม มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะอยู่ชั้นประถมหก ผมสอบได้เปอร์เซ็นต์ดีและได้ลำดับดีกว่าเดิม พ่อผมได้ซื้อปากกาให้เป็นรางวัล มันเป็นปากกาเซลเลอร์ ราคาด้ามละ 12 บาท ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับคนทั่วไป แต่เป็นเรื่องที่ใหญ่มากสำหรับครอบครัวผม เพราะการมีปากกาหมึกซึมและด้วยราคาขนาดนั้น พ่อและครอบครัวเราไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้เลย เพราะแม้แต่การซื้อหนังสือและหาเสื้อผ้าแต่ละภาคการศึกษา พวกผมต้องหามาด้วยการเก็บข้าวตกตามทุ่งนาไปขาย เป็นเดือน เป็นการบอกโดยนัยว่า การศึกษาและการพัฒนาคนนั้น มีความหมายต่อพ่อมาก ผมได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่าในคติของสางพ่อ
พ่อเป็นครูสร้างคนอยู่ในโรงเรียนบ้านนอกด้วยความเหนื่อยยากตลอดชีวิต อีกทั้งเลี้ยงดูและส่งลูกๆ ให้ได้เล่าเรียนด้วยความยากลำบาก แต่ไม่ทันได้อยู่ดูความสำเร็จของตนเองจากการเติบโตงอกงามของลูกๆเลย ชีวิตไม่มีโอกาสได้ผ่อนลงจากความเหนื่อยหนัก พอพวกลูกๆเริ่มจบและสามารถพึ่งตนเองช่วยพ่อได้ พ่อก็จากไปก่อนที่จะได้รู้ว่าผมจบปริญญาโทด้วยซ้ำ ชีวิตนับแต่นั้นผมเสียศูนย์ไปนานเลยทีเดียว หมดอาลัยตายอยาก รับได้ยากถึงความพลัดพรากแบบนี้
ผมต้องเรียนรู้ที่จะพัฒนาจุดหมายชีวิตขึ้นใหม่ ซึ่งในส่วนที่สืบเนื่องกับรากฐานชีวิตจากพ่อนั้น ผมสืบทอดสิ่งที่พ่อทำหลายอย่าง โดยเฉพาะการใส่ใจต่อการศึกษาอบรมของเด็กและลูกหลานที่บ้าน การเอื้ออาทรต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น และหลายภารกิจของชีวิตที่เหนื่อยยาก ทว่าให้ความรู้สึกที่มีความหมายพิเศษมาก มากกว่าการได้ทำและทำให้สำเร็จอีกนั้น ผมทำแบบบูชาพ่อและบูชาความเป็นครูของพ่อ สิ่งเหล่านี้แม้จะว่างเปล่า แต่ก็ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจและนำผมเข้าถึงความเป็นหนึ่งกับสางพ่อ
กิจกรรมเล็กๆในวันสงกรานต์ พวงมาลัยดอกไม้ และปากกาที่วางสงบนิ่งอยู่ข้างโกศของสางพ่อจึงเป็นพลังใจอย่างหนึ่งสำหรับผม ไม่เพียงได้เชื่อมโยงกับสางพ่อในทางจิตนาการเท่านั้น ทว่า เป็นเหมือนความตั้งใจอย่างหนึ่งว่า ทั้งแรงกาย พลังชีวิต สติปัญญา และพลังใจของผม จะปฏิบัติบูชาแด่พ่อ บุพพการี ครูอาจารย์ และสิ่งที่ผมเคารพนับถือ อยู่เสมอๆ
การงานและการดำเนินชีวิตในหลายเรื่อง นอกจากต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกื้อหนุนจากภายนอกที่ดีแล้ว จำเป็นมากที่จะต้องพึ่งสติปัญญาและพลังใจของตน ปากกาด้ามหนึ่งกับรากฐานชีวิตและความทรงจำชุดหนึ่ง ได้ให้สิ่งนี้แก่ผม.
สวัสดีค่ะอาจารย์
อาจารย์วิรัตน์ ครับ
ผมอ่านบันทึกอาจารย์ด้วยความรู้สึกมีพลังใจไปกับสิ่งแทนคุณค่าที่อาจารย์กล่าวถึง
คุณพ่อผมเองท่านก็เสียแล้วครับ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่านได้สอนสั่งผมให้เป็นคนดี อดทนและทำงานด้วยสติปัญญาในทางที่ชอบ ถึงแม้วันนี้ท่านไม่อยู่เสียแล้ว แต่คำสอนสั่งของท่านก็อยู่ในจิตใต้สำนึกของผม
ผมมีเรื่องเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ในชีวิตอยู่มากมายเหมือนกันครับ ด้วยครอบครัวเราไม่มีอะไร ฐานะปานกลาง แต่เราต่างก็ยินดีและภูมิใจในสิ่งที่เรามี และทำให้ดีที่สุดตามศักยภาพ
การงานในวันนี้ นอกจากพลังในใจที่ฮึดสู้ตลอดเวลา จากฐานที่เราเดินขึ้นมายาวไกลแล้ว พลังหนุนจากคนรอบข้าง กัลยาณมิตรก็มีส่วนอย่างมากที่จะเอื้อให้พลังนี้ของเรา เข้มแข็งมากขึ้น
สวัสดีปีใหม่ไทยอาจารย์ด้วยครับ
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ตาม ๆ เขามาอ่าน..
อ่านแล้วก็พลอยซาบซึ้งใจไปด้วย.. เป็นบันทึกที่เขียนด้วยใจจริง ๆ เลยนะคะ เขียนมาหนึ่งปีแล้ว แต่ความซาบซึ้งไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปตามกาลเวลาเลย
บุพการีที่เป็นแบบอย่างที่ดีมักเป็นฮีโร่ในใจของลูก ๆ เสมอ..
ใบไม้ได้พบพานคนที่ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากมาย และมักพบว่า พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากบุพการีของเขาเอง
มิน่าเล่า.. อาจารย์ถึงได้เป็นคนทำงานทุ่มเทเพื่อสังคมที่ดีขึ้นถึงเพียงนี้
ที่แท้มีพลังใจอันหาที่สุดมิได้อย่างนี้นี่เอง..
น้อมจิตคารวะค่ะ..^__^..
ป.ล. มีคำถามนิดหนึ่งค่ะ ตามประสาผู้มีความรู้น้อย อาจารย์ใช้คำว่า "สางพ่อ" ใบไม้สงสัยว่า หมายถึงอะไร และมีที่มาจากไหนค่ะ เป็นภาษาที่เรียกในพื้นที่หรือเปล่า ใบไม้คิดเอาเองว่าหมายถึง "วิญญาณพ่อ" คิดเอาเองว่าคำว่า "สาง" มาจาก "ผีสาง" ไม่ทราบว่ามั่วไปไหมเนี่ย..