วินทร์ เลียววาริณ: “ธุรกิจหนังสือขยายตัวมากขึ้น แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณภาพของนักอ่านดีขึ้น ไม่ได้แปลว่าเรามีวัฒนธรรมการอ่านที่น่าพอใจ”
- ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา สัมภาษณ์และถ่ายภาพ -
ในช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ผ่านมา คุณวินทร์ เลียววาริณ คุณโตมร ศุขปรีชา คุณปราบดา หยุ่น และผม มีโอกาสนั่งสนทนาและรับประทานอาหารกันในบ่ายวันหนึ่ง ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าที่หัวข้อสนทนาเราพัวพันอยู่กับเรื่องในแวดวงหนังสือ ทั้งเกี่ยวกับคนอ่าน หนังสือ งานเขียน และการบริหารกิจการสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก
โดยส่วนตัว ผมคิดว่าบทสนทนาเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านในวงกว้าง ทอดเวลาผ่านไปหลายเดือน ผมจึงถือโอกาสชวนคุณวินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรต์สองสมัย เจ้าของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กที่พิมพ์เฉพาะหนังสือของตนเองเป็นหลัก กลับมาจิบกาแฟและสนทนาอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้ง
และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คุณวินทร์ ซึ่งใช้ชีวิตส่วนหนึ่งในสิงคโปร์ ยอมเดินทางเข้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน หลังจากที่ก่อนหน้าพยายามทำตัวให้อยู่ห่างมาโดยตลอด เราเลือกร้านกาแฟในร้านคิโนะคูนิยะเป็นสถานที่พูดคุย คุณวินทร์สั่งช็อกโกแลตร้อนกับแซนด์วิช ผมสั่งคาปูชิโน เมื่อเครื่องดื่มเริ่มทำหน้าที่และการถ่ายรูปง่ายๆ ด้วยกล้องดิจิตอลเล็กๆ จบลง บทสนทนาหลังถ้วยกาแฟก็เริ่มต้นขึ้น
....................
ถึงวันนี้คุณลาออกจากการทำงานประจำมาเป็นนักเขียนอิสระนานเท่าไรแล้ว (ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549)
3 ปี 7 เดือน กับ 4 วัน
ทำไมจึงจำได้
เพราะว่าผมเริ่มวันที่ 1 มกราคม เมื่อ 3 ปีเศษที่แล้ว
ทำไมวันนั้นจึงตัดสินใจที่จะไม่ทำงานประจำต่อ
ผมทำงานโฆษณามาประมาณ 16-17 ปี และก็มีส่วนในบริษัทด้วย พอถึงจุดหนึ่ง เราคิดว่าจะเลิกกิจการโฆษณา พอถึงจุดที่ตัดสินใจว่าจะเลิกกิจการโฆษณา เราก็มานั่งดูว่าจะทำอะไรต่อ ก็มีคนชวนไปเปิดบริษัทโฆษณาใหม่ เราก็คิดว่านี่อาจจะเป็นอีกทางหนึ่งที่เราน่าจะลองดูก็ได้ สมมติว่าถ้าไปเป็นนักเขียนอาชีพอย่างที่เราเคยอยากจะเป็นมาแต่ไหนแต่ไร ดูซิมันจะทำได้หรือเปล่า ขอลองดูซักตั้งก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะต้องกลับไปวงการโฆษณาอีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือจุดตัดสิน เลยปิดบริษัทเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม วันที่ 1 ผมก็เลยเป็นนักเขียนอาชีพ
การที่จะมาเป็นนักเขียนอาชีพ เราต้องเตรียมการอะไรบ้างนอกเหนือจากงานเขียนที่มีอยู่แล้ว
ผมคิดว่าสำหรับประเทศไทยเรา เราต้องเตรียมการนานทีเดียว คือเราอยู่ดีๆ จะเป็นนักเขียนอาชีพนี่ค่อนข้างจะยากในทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าคุณต้องการเป็นนักเขียนอาชีพเพราะว่าพ่อคุณรวยมาก ก็โอเค มันก็เป็นได้ทุกวัน
แต่ถ้าต้องการเป็นนักเขียนอาชีพที่อยู่ได้ด้วยการเขียนหนังสือจริงๆ มันน่าจะใช้ระยะเวลาปูพื้นฐานมานาน คือหนึ่ง เราต้องสร้างงานที่มีคนอ่านในระดับหนึ่ง อย่างน้อยกลุ่มหนึ่ง และจะต้องสร้างชื่อของนักเขียนขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งมันต้องใช้ระยะเวลา มันไม่สามารถที่จะเขียนหนังสือมาหนึ่งปี แล้วก็เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง ทุกคนรู้จัก ทิศทางของการเขียนวรรณกรรมบ้านเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันต้องเขียน... ผมคิดว่าน่าจะสิบปีขึ้นไป
คือถ้าคิดจะเขียนหนังสือในแนวแบบนี้เพื่อจะเป็นอาชีพ ผมคิดว่าน่าจะสิบปีขึ้นไป ให้ชื่อของนักเขียนเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนอ่าน และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีงานเขียนออกมาอย่างสม่ำเสมอ ให้เขารู้ว่าเรายังไม่ตาย
ถ้าทำอย่างนี้ได้ ผมคิดว่ามันก็อยู่ได้ เพราะกลุ่มนักอ่านวรรณกรรมบ้านเรามีประมาณซัก 10,000 คน คิดว่าตัวเลขนี้คงประมาณซัก 20 ปีได้แล้ว แต่ตัวเลขที่ active จริงๆ อาจจะไม่ถึงหมื่น มันแล้วแต่หนังสือ เพราะคนที่อ่านหนังสือวรรณกรรม ที่ยินดีจะควักเงินซื้อถ้าหนังสือดี ผมคิดว่า 10,000 คนน่าจะได้ แต่คนที่เป็นขาประจำจริงๆ อาจจะไม่ถึง
10,000 คนต้องซื้อเท่าไหร่เราถึงจะอยู่ได้ สามพันหรือห้าพัน ต้องระดับไหนจึงจะทำให้นักเขียนคนหนึ่งยืนระยะอยู่ได้
สามพันก็อยู่ยากอยู่แล้ว มันควรจะมากกว่านั้น วิธีการที่ผมทำก็คือ ในเมื่อเราอาศัยหนังสือต่อเล่มไม่ได้ เราก็ต้องอาศัยปริมาณเข้าว่า เพราะถ้าหากนักเขียนมีหนังสืออยู่ในมือมากกว่า 10 เล่มขึ้นไป โอกาสที่จะอยู่ได้มันก็สูงกว่าคนที่มีหนังสืออยู่ในมือประมาณ 1-2 เล่ม อย่างที่พี่ชาติ กอบจิตติ ปูทางมา ถ้าเรามีหนังสืออยู่ซัก 12 เล่ม เราพิมพ์ใหม่ปีละครั้ง เราก็อยู่ได้ในลักษณะที่ว่าเดือนละเล่ม เราก็เก็บตรงนั้นไป แต่ถ้าประเภทเขียนปีละเล่ม แล้วก็จะอยู่ได้ ผมว่ายากมากๆ ทุกวันนี้ผมทำงานปีละประมาณ 2-4 เล่ม เพื่อให้อยู่ได้
ซึ่งมันอาจบังคับให้เราต้องผลิตงานที่เน้นปริมาณด้วยหรือเปล่า
ไม่ ผมถือเป็นกฎของตัวเองว่าจะไม่ทำงานในเชิงปริมาณถ้าหากว่าคุณภาพไม่ได้ คือถ้าผมทำงานปริมาณได้ คุณภาพต้องไปด้วยกันกับปริมาณ ผมจะไม่ยอมเลย เพราะว่าการที่คุณทำงานห่วยออกมาชิ้นเดียวเท่านั้นเอง คุณฆ่างานของคุณที่เหลือหมดเลยทันที มันเร็วมาก นี่คือหลักตลาดธรรมดา คุณทำงานอย่างนั้นไม่ได้
เมื่อมาลองเป็นนักเขียนอาชีพช่วงเวลาหนึ่ง ผมก็มองเห็นว่ามันก็เป็นไปได้ที่จะทำได้ในปริมาณงานประมาณปีละ 3-4 เล่ม เพราะถ้าคุณทำงานอย่างที่ผมทำ คือผมทำงานเหมือนกับไปทำงานในบริษัทเลย ผมทำงานตั้งแต่เช้าถึงเย็น มี over time ด้วย ผมทำงาน 7 วัน ไม่มีวันหยุด
เพราะฉะนั้นด้วยปริมาณเวลาแบบนี้ ผมคิดว่าคุณทำงาน 3-5 เล่มได้อยู่แล้ว ถ้าหากคุณไม่ขี้เกียจ คุณสามารถทำได้ ถ้าเราดูตัวอย่างนักเขียนอื่นๆ ที่ทำงานแบบมืออาชีพ อย่างเช่นคุณกฤษณา อโศกสิน คุณทมยันตี เขาก็มีงานมากกว่านี้อยู่แล้ว แล้วเขาทำอย่างนี้มาตั้ง 20-30 ปี ไปดูเมืองนอก อย่างเช่น ไอแซก อาซิมอฟ เขาเขียนปีละ 10 เล่ม และเป็นหนังสือที่หนากว่าที่เราเขียนอีก
ถ้าเขาทำได้ ผมคิดว่าเราก็ทำได้ ถ้าหากเรามีวินัยในการทำงานและมีการจัดระเบียบตัวเองให้ดีพอ มันทำได้ เพราะผมไม่เชื่อในเรื่องที่ว่าจะต้องมีอารมณ์ก่อนจะเขียน
ปัญหาของนักเขียนอาชีพอยู่ตรงไหน
ปัญหาของนักเขียนอาชีพน่าจะอยู่ที่การตลาดมากกว่า คือการผลิตหนังสือนี่เป็นปัญหาของนักเขียน ว่าคุณจะผลิตหนังสือได้ดีและต่อเนื่องตลอดไปหรือเปล่า นั่นเป็นปัญหาของนักเขียน ไม่มีใครช่วยคุณได้ แต่ปัญหาของการอยู่รอดนี่เป็นปัญหาในเชิงเศรษฐกิจ คือทำอย่างไรจึงจะทำให้หนังสือที่เขียนไปแล้วมันขายได้ จุดนี้เป็นจุดที่ยาก เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าคนอ่านในบ้านเรามีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร และยอดพิมพ์ของเราก็น้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร เราไม่มีวัฒนธรรมการอ่านวรรณกรรม
เพราะฉะนั้นนี่เป็นโจทย์ที่ยากมากที่จะทำให้นักเขียนอยู่รอดได้ในเชิงเศรษฐกิจ มันจะต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ มาช่วย ทั้งในเชิงการตลาดและในเชิงอื่นๆ ถ้าพูดถึงเรื่องการตลาด นักเขียนส่วนใหญ่ก็จะเบ้หน้าอยู่แล้ว คือไม่สนใจ มันไม่ใช่หน้าที่ที่นักเขียนจำเป็นจะต้องทำเรื่องแบบนี้ แต่ว่าถ้าต้องการอยู่รอดในเมืองไทย ก็อาจจะต้องทำบ้าง
สามารถอ่านเพิ่มเติม ได้จาก