อนุทินล่าสุด


ปภังกร
เขียนเมื่อ

error

หมายเหตุ รูปนี้ Upload ที่ portal.in.th/i-dhamma



ความเห็น (1)
ปภังกร
เขียนเมื่อ

เมื่อเข้าระบบจะเขียนบันทึก หน้าต่างขึ้นมาตามรูป

error

ทั้งการใช้ Google Chrome และ Internet Explorer ...?

ไม่สามารถเพิ่มบันทึก เพิ่มไฟล์ได้...



ความเห็น (1)

เจอหน้าจอคล้ายกันค่ะ

ปภังกร
เขียนเมื่อ

ทำไมจิตใจมันร้อน จิตใจไม่สงบ...? เพราะเราทุก ๆ คนน่ะมีความเห็นแก่ตัว  มีอัตตาตัวตนมาก ทำอะไรก็เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น สัตว์อื่น

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้มีเมตตามาก ๆ ให้ใจเย็น ๆ ให้สงสารคนอื่น ให้เมตตาคนอื่น โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้เรา คนที่อยู่ในครอบครัวของเรา ถ้าจิตใจของเรามีความโกรธ  มีความขัดเคือง มีความไม่พอใจ จิตใจของเรานี้มันเผาทั้งตัวเราและมันเผาทั้งครอบครัวของเราตลอดลูกน้องพ้องบริวาร บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเราเค้ามองดูหน้าดูตาแล้วเค้าก็ไม่มีความสุข

คนเราทุก ๆ คนในชีวิตประจำวันมันมีสิ่งที่เราชอบแล้วก็เราไม่ชอบ ส่วนใหญ่มันก็มีแต่สิ่งที่เราไม่ชอบ แม้แต่ร่างกายของเรามันก็ไม่ได้ตามใจ ธุรกิจหน้าที่การงานของเรามันก็ไม่ได้ตามใจ เพื่อนฝูงบริวารลูกน้องมันก็ไม่ได้ตามใจ

พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดดี ๆ นะ สิ่งที่ไม่ได้ตามใจ ไม่ได้ตามปรารถนานี่แหละ  เป็นโอกาสเป็นเวลาที่จะได้ฝึกจิตใจของเราให้ใจสงบ ใจเย็น เราจะได้เจริญเมตตาเยอะ ๆ มาก ๆ ถ้าเรามีความเมตตามาก ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ได้ตามใจเรา เราก็จะได้ไม่โกรธ  ไม่โมโห  ไม่ทิฏฐิมานะมาก เจ้าอารมณ์ ถ้าเราจะเอาแต่สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ไม่ชอบเราจะเอาไปไว้ที่ไหน เราจะเอาแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีเราจะเอาไปไว้ที่ไหน เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นธรรมะ  เป็นธรรมชาติมีอยู่ในโลกในชีวิตประจำวัน สิ่งต่าง ๆ ที่เราว่ามันมีปัญหานั้น พระพุทธเจ้าท่านให้เราดูตัวเองให้ดี ๆ นะ มันเป็นจิตใจของเราที่มันมีอัตตาตัวตนต่าง ๆ ให้ทุกท่านทุกคนถือโอกาสถือเวลาว่าสิ่งเหล่านี้แหละ มันเอาความดีเอาบารมีมาให้เรา มาให้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราจะเอาอะไรมาประพฤติปฏิบัติ




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

ให้ทุกท่านทุกคนกลับมามองตัวเองว่า “เดี๋ยวนี้เราให้อะไรใครบ้างหรือยัง...?”

เราให้ความสุขความดับทุกข์แก่คุณพ่อคุณแม่แก่คนในครอบครัวแล้วหรือยัง ถ้าเราเป็นผู้เอาเหมือนแต่ก่อน ตัวเราเองก็มีทุกข์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราก็มีทุกข์

คนเรานี้มันไม่เสียสละเลยนะ... ที่เค้าให้เราเรียนหนังสือน่ะตั้งแต่อนุบาลจนจบ  ด๊อกเตอร์ก็เพื่อจะเป็นคนดีเป็นคนเสียสละเป็นผู้ให้ เค้าเอาเหยื่อมาล่อเราให้เราทำความดี แม้แต่พระภิกษุสามเณรเรา เค้าก็เอาเหยื่อมาให้เพื่อทำความดี ให้นักธรรมตรี โท เอก  เปรียญธรรม จนถึงด๊อกเตอร์น่ะ “ให้ทุกท่านทุกคนให้รู้ความหมายนะ ความเป็นจริงแล้ว  เค้าจะให้เราเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ...”

ในโลกในสังคมนี้หาคนดีเพื่อทำพันธุ์หาลำบาก หาคนดีเป็นตัวอย่างหาลำบากน่ะ  เมื่อมันหาไม่ได้หาลำบากเราก็ไม่ต้องไปหาน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาหาที่ตัวเรานี้แหละ เพราะว่าสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นอยู่ในตัวเรานี้เอง ถ้าเราคิดดี เราปรารถนาแต่สิ่งที่ดี เราพูดดี เราทำดี เรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ตั้งมั่นในความดีน่ะ ชีวิตของเรานี้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทุก ๆ อย่างมันจะดำเนินไปในขบวนการของเค้าเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นก็ต้องมี

ทุกท่านทุกคนกลัวความดี จะรักษาศีลไม่กี่ข้อนี้ก็กลัว หัวใจกลัวอย่างนี้เค้าเรียกว่า “หัวใจอสุรกาย”

ทุกคนน่ะมันก็มีภาระเยอะ ภาระเรื่องคุณพ่อคุณแม่เรื่องลูกหลานเรื่องคนงานหรือเจ้านาย แต่การประพฤติการปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมน่ะมันก็สามารถแทรกเข้าไปในการประพฤติการปฏิบัติในหน้าที่การงานได้ทั้งหมด ถ้าเรารู้เรื่อง ถ้าเราเข้าใจ ถ้าเราไปรอให้หมดธุระ ไม่มีธุระนั้นน่ะก็คือ “เท่ากับเรารอให้เราหมดลมหายใจ...”

คนเราน่ะมันเห็นแก่ตัวนะ... เวลารักษาศีลมาก ๆ มันไม่อยากรักษานะ แต่เวลาเงินน่ะถ้าได้น้อยมันไม่ชอบ.! นี้แสดงว่าเราจิตใจเรามีปัญหา หัวใจเรามีปัญหา แสดงว่าเรายังมีความเห็นผิด ชื่อว่าเรายังไม่ชอบพระพุทธเจ้า ไม่ชอบพระธรรม ไม่ชอบพระอริยสงฆ์  แต่เราพากันคิดอยากจะไปพระนิพพานน่ะมันก็เป็นไปไม่ได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

สมณะแปลว่าความสงบ.... ความสงบที่เราทุกคนจะหาได้น่ะต้องหาจากตัวของเราเอง  ถ้าเราไปหาที่อื่นไปแก้ไขที่อื่นนั้นไม่สามารถที่จะพบกับความสงบได้ ถ้าเราวิ่งหาจากภายนอกนั้น “ยิ่งวิ่งก็ยิ่งหนี” เหมือนกับบุคคลที่วิ่งตามตระครุบเงา วัตถุข้าวของเงินทองเกียรติยศ  สิ่งเหล่านั้นน่ะไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเราได้ แม้แต่ร่างกายของเรานี้ก็ไม่จีรังยั่งยืน เราเกิดมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้น่ะล้วนแต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ดีที่สุดก็จากเราไป สิ่งที่ไม่ดีที่สุดก็จากเราไป ในอนาคตน่ะสิ่งที่ดีก็จากเราไปสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องจากเราไป  อย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านถึงพาเรากลับมาหาความสงบ

ความสุขความดับทุกข์ของคนเราทุกคนนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอยู่ที่ความสงบ 

เราบริโภคอาหาร พักผ่อน หรือทำอะไรทุกอย่างนั้นจุดมุ่งหมายก็คือให้กายของเรานั้นมีความสงบ ให้ใจมีความสงบ ถ้าเรารวยเราเป็นมหาเศรษฐีถ้าใจเราไม่สงบน่ะก็ชื่อว่า  เราไม่เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ถึงจะร่ำจะรวยเราก็ยังตกนรกทั้งเป็นในชีวิตประจำวัน

เราทุกคนน่ะไม่ว่าจะนั่งอยู่ในที่นี้หรือว่าทำอะไรอยู่ในที่อื่นถ้าใจไม่สงบก็ถือว่าบุคคลนั้นกำลังตกนรกทั้งเป็นน่ะ คือความโลภความโกรธความหลงมันเผาเราทั้งเป็นน่ะ บางทีน่ะ  เรามีอะไรพร้อมทุกอย่างแต่จิตใจของเรามันก็ไม่สงบ จิตใจของเรามันก็ไม่อิ่มไม่พอ  สาเหตุเพราะอะไร...? สาเหตุก็เพราะว่าใจของเรานี้เค้ากำลังตกนรก กำลังถูกไฟนรกเผาน่ะ

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ตั้งแต่เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ที่เรายังไม่ลาละสังขารนี้แหละ ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเหมือนกับกองเพลิงกำลังไหม้เราอยู่เผาเราอยู่

ถ้าเราคิดว่าชาติหน้ามีจริงมั๊ย...? นรกมีจริงมั๊ย...? สวรรค์มีจริงมั๊ย...? ก็ชื่อว่าเราไม่รู้จักนรกที่แท้จริง เขากำลังเผาเราอยู่เรากำลังตกนรกอยู่ เค้าเรียกว่า “นรกชิมลอง” น่ะ  เป็นนรกหลุมเล็กหลุมใหญ่ที่เค้าจัดการเราในชีวิตประจำวัน





ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

คนเราเมื่อไม่ได้ตามใจก็ต้องมาแก้ที่ใจ เพราะสิ่งที่มีปัญหาก็คือใจที่มีปัญหา

ต้องทำใจของเราให้สงบให้ได้น่ะ... ใจของเรามันก็ค่อย ๆ เกิดปัญญาว่าธรรมะนี้  มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ถ้าเราทำตามใจตามอารมณ์น่ะชีวิตนี้ก็มีแต่ผิดหวัง โลกนี้ก็ย่อมมีแต่ความเห็นแก่ตัว ถือพรรคถือพวก ถือชั้นวรรณะชาติตระกูล “เอาดีใส่แต่ตัว เอาสุขใส่แต่ตัว เอาความทุกข์ให้คนอื่น มันไม่ถูกต้องเลยมันไม่ยุติธรรมเลย...!”

ใครคิดได้มาก ใครวางแผนได้ดีกว่ากัน ใครวางแผนได้ดีกว่าคนอื่นก็เอาเปรียบคนอื่น ขาดความเป็นธรรมขาดความยุติธรรม อาชีพบางทีก็ไม่ยุติธรรมน่ะ ขายเหล้าขายเบียร์ ขายปืน ทำบ่อน ค้าขายมนุษย์ ค้าขายสิ่งเสพติดยาเสพติด เพราะว่าอะไร...? เพราะว่ามีความเห็นแก่ตัว

บางคนก็คิดนะ... คิดว่าเราเป็นคนเสียสละมาก ๆ เป็นคนมีศีลมีธรรมเราก็ถูกคนอื่นเอาเปรียบ เราก็เสียเปรียบ ถ้าเราคิดอย่างนั้นมันไม่ใช่ตัวเรานะ มันเป็นกิเลสในตัวเราคิดนะ “มันเป็นกิเลสคิดมันไม่ใช่ธรรมะ...”

คนเรานี้ความสุขต้องได้มาจากเป็นผู้ให้ผู้เสียสละอันเกิดจากความสงบ

การทำตามใจตัวเองนั้นน่ะคือการสร้างปัญหา ถ้าเราเป็นคนเสียสละเป็นคนดีน่ะ ครอบครัวเราก็ย่อมมีความสุข องค์กรของเราก็ย่อมมีความสุข ประเทศชาติก็ย่อมมีความสุข ทุกคนก็มีความต้องการ

สิ่งที่สำคัญอยู่ที่เราทุกคนมีความเห็นแก่ตัวไม่ยอมเสียสละ ไม่ยอมลดมานะละทิฏฐิ  มีแต่จะเอาแต่ใจตัวเอง เอาแต่อารมณ์ตัวเอง

เราทำความดีมันมีแต่สงบมีแต่เย็นน่ะ ไม่มีใครมาได้เปรียบเรา เราไม่ได้เสียเปรียบ  ใครหรอก การชนะจิตชนะใจตัวเองได้คือการชนะข้าศึกทั้งหลายทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเราอย่างนี้นะ




ความเห็น (1)
ปภังกร
เขียนเมื่อ

พระพุทธเจ้าเทศน์เราบอกเราสอนเราเรื่องการเสียสละ

เสียสละขนาดไหน...? ขนาดที่เราไม่มีตัวไม่มีตนโน่นแหละ ถ้าเรามีตัวมีตนอยู่เราก็ย่อมมีความทุกข์ เรามีความทุกข์ก็เพราะเรามีตัวมีตน

ทุกท่านทุกท่านนั้นไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ได้เป็นผู้หญิงไม่ได้เป็นผู้ชาย ไม่ได้เป็นคนแก่คนหนุ่มคนสาวไม่ได้เป็นพระหรือไม่ได้เป็นโยม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตามเหตุตามปัจจัยที่อวิชชาคือความหลงของเรานี้มาปรุงแต่งจิตใจให้เราทำบาปทำกรรม ไม่มีที่หยุดไม่มีที่ยั้ง

ใจของเรานี้มันมีแต่จะเอา... มันจะเอาความสุข มันเป็นผู้เอามาตั้งหลายภพ  หลายชาติแล้ว แม้แต่เกิดมาเราพอที่จะสังเขปได้ มันเริ่มเอาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว  เมื่อออกมาก็มาเอากับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเจริญวัยเป็นวัยเรียนวัยศึกษามันก็จะเป็นผู้เอา  เอากับเพื่อนบ้าน เอากับสังคม มันจะมาเอาความสุขกับผู้อื่น

พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเราให้เรามาเป็นผู้เสียสละมาเป็นผู้ให้ เป็นคนขยัน  เป็นคนไม่ขี้เกียจ มาหยุดตัวเอง มาเบรกตัวเองว่าตั้งแต่นี้ต่อไปน่ะ ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของข้าพเจ้าใหม่ จะเป็นคนขยันสุด ๆ เสียสละอย่างสุด ๆ จะมาละอัตตามาละตัวละตน  จะไม่เป็นคนฟรีสไตล์มักง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีโลกส่วนตัว เอาตัวเป็นใหญ่เอาตัวเป็นประธานน่ะมันไม่ถูก ต้องมาพิจารณาตัวเองว่าตัวเองได้เสียสละอะไรบ้าง ตัวเองได้ให้ความสุข  แก่คุณพ่อคุณแม่แล้วหรือยัง แก่ครอบครัวแล้วหรือยัง แก่หมู่แก่คณะแก่สังคมแก่ประเทศชาติแล้วหรือยัง...?




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

บังคับตัวเองให้มันเย็นไว้นะ ที่เราว่าขยันมันยังไม่ขยัน ที่มันกลัวยากลำบากกลัวเจ็บกลัวปวดแสดงว่าเรายังไม่ขยัน

โลกส่วนตัวโลกอัตตาตัวตนพระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนหยุดไว้ก่อน ให้มาปรับใจเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ

เราทุกคนพ่อแม่เราก็ดีใจ ญาติพี่น้องเราก็ดีใจ ว่าลูกหลานมาประพฤติปฏิบัติธรรมะคงจะช่วยให้เราดีได้ เจริญได้ ทุกท่านเค้าพากันคิดอย่างนี้นะ

เราบวชมาทุกคนเค้ากราบเราหมด ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้สมกับการที่รับกราบรับไหว้รับอัญชลี

เราบวชมาเราตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เวลาสิกขาลาเพศไปเราไปทำธุรกิจการงานก็เจริญ แล้วในชีวิตประจำวันก็เจริญไปด้วย ทุกอย่างนั้นมันก็จะดีหมด เพราะธรรมะช่วยเราได้ บุญกุศลที่จะได้ส่งถึงพ่อแม่ บูชาพระคุณบุคคลที่ประเสริฐ




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

ความขี้เกียจขี้คร้านมันมีมากทุกคนนะ จะเคลื่อนไหวอะไรมันก็ไม่อยากเคลื่อนไหว ยิ่งตอนเช้าตี ๓ มันไม่อยากตื่นแต่มันต้องตื่น ต้องฝืน ต้องทน การชนะสิ่งต่าง ๆ ท่านว่ายังไม่สู้ชนะจิตใจตัวเอง

เราไม่ต้องไปมองว่าคนโน้นปฏิบัติไม่ดีคนนี้ปฏิบัติดี คนนี้กิเลสมาก คนนั้นปฏิปทาน่าเกลียด เราไม่ต้องไปมอง ถ้าเราเป็นคนฉลาดเป็นคนตั้งอกตั้งใจ ส่วนมากก็จะมองเห็นโทษของคนอื่น เมื่อเห็นโทษคนอื่นแล้วเราจะหมดกำลังใจหมดศรัทธา เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่มาประพฤติปฏิบัติไม่ได้มีใครสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนใหญ่ก็เป็นสามัญชนเหมือนกับเรา ถ้าเราไปเอาตัวอย่างเขาเอาแบบเขาคงไม่ได้ ต้องเอาตัวอย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น ไม่อย่างนั้นเราก็คิดอยู่อย่างนั้นว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้ จิตใจของเราก็กลายเป็นอันธพาลไป

ต้องเมตตาสงสารคนอื่นให้มาก...

คนอื่นจะกิเลสมากกิเลสน้อยก็ช่างหัวมัน เราก็กลับมาแก้ที่จิตที่ใจของเรา ไม่ต้องไปแก้คนอื่น อยู่ในโลกสังคมเมืองมนุษย์นี้คนเห็นแก่ตัวมันมีมาก เปรียบเสมือนวัวตัวหนึ่งขนมันมีเยอะเขามีแค่ ๒ เขาอย่างนี้เป็นต้น เราพยายามเอาพระพุทธเจ้าไว้เป็นหลัก แม้นพระรูปนั้นจะบวชมาหลายปีหลายพรรษา เป็นพระมัชฌิมาพระเถระ ถ้ามันไม่ดีไม่ถูกต้องเราก็เฉย เราถือว่าเป็นเรื่องของคนอื่น

พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พยายามทำความดี ปฏิบัติหน้าที่ให้มีความสุข กายอยู่ที่ไหนก็ให้ใจมันอยู่ที่นั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขาดสติ ๑ นาที ก็บ้า ๑ นาที

อย่าไปหลงทางวัตถุ เราหลงมาหลายภพหลายชาติแล้ว พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่าไปโง่ให้วัตถุกามคุณมันเผาจิตเผาใจ

ต้องหยุดตัวเอง อดกลั้นอดทน ถ้าเราไม่อดกลั้นอดทน จิตใจของเรานี้ไม่มีทางที่จะสงบไม่มีทางที่จะเย็นได้ เพราะจิตใจของเรามันตกอยู่ในอำนาจของความมืดคือกามคุณทั้งหลาย มันหลงวัตถุ ของออกมาใหม่ ๆ มันก็ยิ่งหลง เรามาบวชมาปฏิบัตินี้ต้องตัดใจ ต้องข่มใจ ฝืนกิเลส ฝืนใจของตัวเอง ทำทุกวัน ปฏิบัติทุกวัน ถ้าอย่างไม่อย่างนั้นน่ะความรู้เราท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอดเพราะไม่มีการปฏิบัติกายปฏิบัติใจ

ต้องเอาสติสัมปชัญญะมาฝึกกาย นั่ง เดิน บริโภคอาหารก็ให้รู้ รู้แล้วก็ให้มันสงบ อย่าให้มันวุ่นวาย เพราะใจของเรานี้มันหยุดไม่เป็น มันสงบไม่เป็น





ความเห็น (1)
ปภังกร
เขียนเมื่อ

การบวชพระถือว่าเป็นบุญใหญ่เป็นอานิสงส์ใหญ่

การบวชพระการปฏิบัติธรรมนี่นะ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ประเสริฐมาก เป็นการเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์

การที่จะมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนพากันตั้งอกตั้งใจ พากันประพฤติปฏิบัติธรรม ตั้งใจรักษาศีลให้ดีทุกข้อ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง

กิจวัตรประจำวันต่าง ๆ นั้นถือว่าเป็นบุญเป็นกุศล เช่นนั่งสมาธิร่วมรวมกันในศาลาหรือว่าในกุฏิที่พักต้องทำให้ได้ทุกวัน อย่าให้ขาดตกบกพร่องไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะคนเรามันชอบเข้าข้างตัวเอง ทำวัตรสวดมนต์ก็อย่าให้ขาด บิณฑบาตก็อย่าให้ขาด พยายามตั้งอกตั้งใจภาวนา ไม่ให้คลุกคลี ไม่ให้พูดคุยกับคนอื่นในหมู่คณะ เพราะคนเรามันอยู่กับความสงบไม่เป็นอยู่กับตัวเองไม่เป็น ที่อยู่ได้ก็อยู่ได้กับการงาน การพูดคุย เครื่องบันเทิงต่าง ๆ เช่นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ฯ

ตัวเราที่ผ่าน ๆ มาส่วนใหญ่ก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้น... เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมมาบวช พระพุทธเจ้าท่านให้ตัดสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นให้หมด ทุกคนทุกท่านต้องตัดให้หมด ไม่มียกเว้นใคร ๆ ทั้งสิ้น การบวชการปฏิบัติของเราถึงจะมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าไม่อย่างนั้นการมาอยู่วัดของเรา การมาบวชของเราก็จะไม่ได้ผลแต่กลับมีบาปมีอกุศลติดตามเราไปด้วย




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

เราทุกคนทุกท่านต้องทำใจให้สงบ อย่าได้พากันหวั่นไหวต่ออารมณ์ที่จะกระทบอารมณ์ของเราในชีวิตประจำวัน อดเอาทนเอา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล้วนแต่เป็นอารมณ์เท่านั้นน่ะ  มันผ่านไปผ่านมาเหมือนกับลมมันผ่านเราในขณะนี้ กาลเวลา ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ หน้าแล้ง ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายถึงได้พากันมาบรรพชาอุปสมบท  มาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจของเราให้มันสงบทำใจของเราให้มันเย็น

พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติเป็นตัวอย่างทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง สมบัติพัสถาน สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่รับเงินไม่รับปัจจัย รองเท้าก็ไม่ทรงพระบาท ท่านก็มีความสุขที่สุดในโลก

เราทุกท่านทุกคนถือว่าไม่มีความสุขไม่มีความสงบน่ะ จะนั่งสมาธิซักห้านาทีให้สงบ  มันก็ไม่สงบน่ะ พระพุทธเจ้าท่านเข้านิโรธสมาบัติน่ะคือเข้าสมาธิเสวยวิมุตติสุขอยู่กับ ความสงบเป็น ๗ วัน หรือว่าตลอดไป

การมาบวชการมาปฏิบัตินี้ทุก ๆ ท่านทุกคนต้องได้ฝึกตนเอง ถือโอกาสนี้ถือเวลานี้  เป็นเวลาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้เราเห็นแก่ความเหน็ดความเหนื่อย ความยากลำบาก เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ความง่วงเหงาหาวนอน ติดสุขติดสบาย  ติดฟรีสไตล์เหมือนแต่ก่อน ถ้าเราไปติดอย่างนั้นน่ะเราไม่ได้ฝืนไม่ได้ทน เราก็ถือว่าตัวเอง  เป็นคนบาปเป็นคนไม่ดีนะ การที่เมตตาตนเองสงสารตนเองนั้นน่ะทุกท่านทุกคนต้องนำตัวเองประพฤติปฏิบัติเข้าหาธรรมะ ฝึกใจฝึกสมาธิ

ให้ถือว่าวันนี้เป็นวันที่เริ่มต้นค่อย ๆ ทำไปค่อย ๆ ปฏิบัติไป เดี๋ยวมันก็ค่อยดีเอง

ทุกท่านทุกคนน่ะให้พากันมาลดมานะละทิฏฐิ อย่าไปถือเนื้อถือตัวว่าตัวเองร่ำรวย ตัวเองเก่ง ตัวเองมีปริญญาสูง ให้มาลดมานะละทิฏฐิ เป็นผู้ไม่มีตัวไม่มีตน อ่อนน้อมต่อพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ่อนน้อมถ่อมตนต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ที่บวชก่อน เคารพนับถือเพื่อน ๆ สหธรรมมิกทุกคน พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

การทำสมาธินี้มันเป็นงานเบา เป็นงานนั่งอยู่เฉย ๆ แต่ว่ามันเป็นงานยากกว่างานทุกอย่าง ทำไปเรื่อย ๆ แหละ ลมเข้าออกหยาบกลางละเอียดเราก็ให้รู้ มันจะสงบหรือไม่สงบเราก็ทำไปเรื่อย ๆ เพราะนี้คือการฝึกคือการปฏิบัติเบื้องต้น

ปกติคนเราน่ะมีความอยาก มีความต้องการทำนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อยากให้มันสงบ

การนั่งสมาธิก็คือเรามาละความอยากน่ะ เรามาละความเห็นแก่ตัว เราทำไปปฏิบัติไปเพื่อนเราเค้าก็พากันประพฤติปฏิบัติ หรือเค้าไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวเค้า

การปฏิบัติใจให้ใจของเรามันเป็นสมาธินี้มันไม่เหมือนการเรียนหนังสือนะ อันนี้เป็นการฝึกจิตฝึกใจของเรา เพื่อให้ใจของเรามันสงบ

เราต้องฝึกอย่างนี้ไปหลาย ๆ วันน่ะจนกว่าจิตใจของเรามันจะสงบเข้าสมาธิได้เป็นสมาธิ

ทุก ๆ ท่านทุกคนน่ะพยายามดูตัวเองมองดูตัวเอง ดูความบกพร่องของตัวเองทางกายทางวาจาทางจิตใจของตัวเอง เพื่อจะได้พากันฝึกสมาธิกันอย่างเต็มที่

ทุก ๆ คนน่ะพยายามอย่าให้ใจมันส่งออกไปข้างนอกเหมือนเมื่อเรายังไม่ได้บวช  ไม่ได้มาอยู่วัดเราคิดไป “สารพัดคิด” น่ะ ทีนี้เรามาสมาทานไม่คิดเรื่องบ้านเรื่องโลกเรื่องสังคม จะมาทำใจระงับจะมาทำใจสงบ ดังพระบาลีตรัสว่า “นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอันไหนก็สู้ความสงบไปไม่มี”




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าปัญหารีบด่วนคือเรื่องทุกข์เรื่องเหตุเกิดของความทุกข์  สมมติว่าไฟมันกำลังไหม้เรา เราไม่จำเป็นต้องไปถามคนอื่นเค้า ถ้าเค้าตอบปัญหาของเราได้เราถึงจะเอาไฟออกจากตัวเรา ปัญหาของเรามันมีชัดเจนอยู่แล้วคือเรื่องของความทุกข์

ทุกท่านทุกคนนี้มีความทุกข์ ใครไม่มีความทุกข์นั้นเป็นไปไม่ได้เลย เป็นคนจนก็ทุกข์อย่างคนจน เป็นคนรวยก็ทุกข์อย่างคนรวย เป็นเทวดาก็ทุกข์อย่างเทวดา เป็นพระอินทร์  พระพรหมก็ทุกข์อย่างพระอินทร์พระพรหม

อะไรคือความทุกข์...? ความโลภความโกรธความหลงนี้แหละคือความทุกข์ มันเป็น กองเพลิงใหญ่ มันเผาใจเผากายของทุก ๆ คนอยู่ตลอดเวลา แต่เราทุกคนนั้นมองไม่เห็น  หรือมองเห็นแต่ไม่รู้จะเอาออกได้อย่างไร

คนเราทุกคนนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มันไม่มีทุกข์อะไรหรอก มันไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่เราทุกคนไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์  มันหาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง เพราะความเห็นผิดคิดผิดทำผิด คิดว่าได้ทำตามใจทำตามอารมณ์นั้นมันจะมีความสุขมีความดับทุกข์น่ะ แต่ที่ไหนได้ มันสร้างปัญหาให้กับตัวเองทั้งนั้นเลย เปรียบเสมือนเปลวไฟเพียงนิดเดียวนี้เราเอาฝืนเอาถ่านเอาน้ำมันไฟเติมเข้า ยิ่งเติมก็ยิ่งเป็นเพลิงกองใหญ่




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

ความสงบแปลว่าความดับทุกข์...

เราทานอาหารทำอะไรทุกอย่างต้องทำให้ใจสงบ เมื่อใจสงบแล้วมันถึงจะดับทุกข์ได้

ถ้าเรารวย เรามียศถาบรรดาศักดิ์ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีลูกน้องพ้องบริวาร ถ้าใจของเราไม่สงบมันจะดับทุกข์ได้มั๊ย...?

มันดับทุกข์ไม่ได้... เพราะมันมีเรื่องมีปัญหามาก เพราะเราไม่รู้จักทำใจให้สงบ ชีวิตที่ยังไม่ตายก็ถูกความโลภความโกรธความหลงครอบงำ ถูกมันเผาทั้งเป็น ใจไม่เย็น ใจไม่มีแอร์คอนดิชั่น เพราะสมาธิมันไม่มี

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรารักศีล ๕ ถ้าเรารักศีล ๕ ก็ชื่อว่าเรารักพระพุทธเจ้า เคารพพระพุทธเจ้า ถ้าใครไม่เห็นความสำคัญในการรักษาศีล ๕ ก็ขึ้นชื่อว่าไม่เห็นความสำคัญในพระพุทธเจ้า ถ้าใครไม่เห็นความสำคัญในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องมันก็เป็นบาปเป็นกรรม ไม่ว่าพระเจ้าพระสงฆ์หรือคฤหัสถ์ญาติโยมต้องมีปัญหาแน่นอน “ศีล ๕ นี้สำคัญนะ เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐ...”




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

ในครอบครัวเรานะ... ถ้าเราเป็นผู้เสียสละครอบครัวเราก็มีความสุข อยู่ในหมู่บ้านในสังคม ถ้าเราเป็นผู้ที่เสียสละ หมู่บ้านสังคมก็มีความสุข เราอยู่ในวัดอยู่ในพระศาสนา ทางวัดทางพระศาสนาก็มีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง

สังคมมนุษย์และหมู่สัตว์ทั้งหลาย... พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราเป็นผู้เสียสละ แบ่งปันความสุข แชร์ความสุขให้แก่บุคคลอื่นเค้าบ้าง มีความสุขกับการทำธุรกิจหน้าที่การงาน การงานของเราต้องมีความสุขเพราะเราได้เสียสละ เราได้ช่วยเหลือครอบครัว เราได้ช่วยเหลือลูกน้องพ้องบริวาร




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

ความเห็น (1)

ที่ไหนค่ะ เหมือนวัดพระใหญ่ที่ภูเก็ตนะคะ ตั้งอยู่บนภูเขาสูงค่ะ

ปภังกร
เขียนเมื่อ

เรื่องการประพฤติปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของทุก ๆ คนไม่มีบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ให้ทุกท่านทุกคนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญนะในชีวิตประจำวันของพวกเรา  


การเจริญสติ การฝึกสมาธิ การเจริญปัญญาของเราน่ะมันดีพอมันต่อเนื่องที่จะทำให้ธรรมะของเราเจริญรุ่งเรืองงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือไม่ ใจของเราสงบหรือว่าใจของเราน่ะส่งออกไปตั้งแต่ข้างนอกจนกลายเป็นพระฟุ้งซ่าน เณรฟุ้งซ่าน แม่ชีฟุ้งซ่าน อุบาสกอุบาสิกาฟุ้งซ่าน เป็นคนหัวใจแตกสลาย เป็นคนจิตใจแตกสลายไม่อยู่ในความสงบ

วิธีแก้น่ะ... พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเราให้กลับมาหาตัวเอง ให้กลับมาหาข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ให้คลุกคลีกับคนอื่นหรือหมู่คณะ ให้พยายามอยู่กับตัวเอง ฝึกสมาธิให้มาก สมาธิก็คือความสงบน่ะ สาเหตุที่ใจของเราจะสงบมันก็ต้องมีการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ด้วยคณะ

อย่าไปมองคนอื่นอย่าไปดูคนอื่นนะ ให้ดูกายวาจาใจตัวเอง...

คนเรียนหนังสือน่ะตั้งแต่อนุบาล ป.๑ เค้าไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เมื่อเรียนไม่หยุด ศึกษาไม่หยุด ชีวิตของบุคคลนั้นก็ย่อมรู้จักรู้แจ้งจนได้จบด๊อกเตอร์นะ การประพฤติการปฏิบัติของเราผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องทำความเข้าใจแล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติไม่หยุด ภาวนาไม่หยุด ค้นคว้าทั้งเหตุทั้งผลและประพฤติปฏิบัติ เดินตามรอยของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงน่ะ ทุกท่านทุกคนก็ย่อมเข้าถึงพระนิพพานด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นไม่มีใครยกเว้น




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

เราพยายามมีสติ มีสมาธิ ไม่เข้าไปคิดเข้าไปปรุงแต่ง เพราะความคิดความปรุงแต่งนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก “มันจะเป็นสุขเราอย่าเข้าไปปรุงแต่ง มันจะเป็นทุกข์เราก็อย่าเข้าไปปรุงแต่ง หรือมันเฉย ๆ เราก็อย่าเข้าไปปรุงแต่งภายในจิตใจ” เราพยายามสงบไว้ นิ่งไว้ ปล่อยวางไว้ อย่าให้จิตใจมันเคลื่อนไหว  พยายามฝึกปล่อยฝึกวาง อย่าไปสนใจ สร้างสติ สร้างสมาธิให้แข็งแรง แข็งแกร่ง

คนเราน่ะปัญญามากก็ฉลาดมาก ถ้าสมาธิไม่พอความแข็งแรงไม่พอภายในจิตใจมันก็ไม่สามารถละกิเลสได้ เพราะว่ามันขาดสมาธิ

เราจำเป็นต้องบำเพ็ญสมาธิ ฝึกจิตใจไม่ให้หลงในความสุข ในความทุกข์ ให้ยินดี ให้มีความสุขความดับทุกข์กับการปล่อยวางเวทนา

“ตัวมันติดตัวมันยึดที่แท้จริงคือตัวเวทนา...”

เวทนามันเกิดขึ้นแก่ใจของเรา เราอย่าไปสนใจ เราอย่าให้ความสำคัญ ขอให้เพียงเรารู้ว่ามันเป็นเวทนา มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ นี้มันเป็นธรรมชาติของขันธทั้ง ๕...


เราอย่าไปตั้งความหวังว่าเราต้องมีความสุข เราต้องไม่แก่ เราต้องไม่เจ็บ เราต้องไม่ตาย เราต้องร่ำรวย มียศถาบรรดาศักดิ์ ถ้าเราไปตั้งไว้อย่างนั้นจิตใจของเรามีปัญหาแน่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามใจเราหมดทุกอย่าง “ที่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน”คือแน่นอนว่าเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย และก็พลัดพรากเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด






ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

พระพุทธเจ้าท่านเมตตาทุก ๆ คนให้พากันปฏิบัติธรรม...

ปฏิบัติธรรมทำอย่างไร..? ปฏิบัติธรรมก็คือทำตามธรรม ไม่ให้ทำตามความอยากตามความต้องการของเรา เพราะว่าความอยากความต้องการของเรานี้มันทำให้เรามีปัญหา ทำให้ชีวิตจิตใจของเราตกต่ำ

ปฏิปทาของเราแต่ละคนนี้เป็นสิ่งที่จำแนกชีวิตจิตใจ ฐานะ และคุณธรรมน่ะ

ความจริงก็คือความจริง ไม่เคยเอนเอียงไปกับใคร ทุกคนทำดีก็ได้ดี ทุกคนทำชั่วก็ได้ชั่ว สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนจะหลีกหนีไปไม่พ้น

พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นมาหาที่ตัวเรานี้แหละ ถึงจะยากจะลำบาก ถึงเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ก็ต้องพากันประพฤติปฏิบัติธรรม “อินทรีย์สังวร” สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  ให้ตั้งอยู่ในธรรมด้วยความไม่ประมาท คนฉลาดก็ตายเพราะความฉลาดของตัวเอง  ใครมีความรู้ความสามารถอะไรก็ตายเพราะความรู้ความสามารถของตัวเอง ถ้าไม่เอาธรรมเป็นใหญ่เป็นหลักเป็นข้อวัตรปฏิบัติ”

เราทุก ๆ คนนี่ทำอะไรในชีวิตประจำวันนี้บาปกรรมมันมีกับเราตลอด ไม่ว่าเราพูด  ไม่ว่าเราคิด ไม่ว่าเรากระทำ ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้ คนอื่นจะไม่เห็น คนอื่นจะไม่ได้ยิน แต่บาปกรรมที่เรากระทำนั้นหาได้อภัยให้เราไม่ บาปกรรมนั้นต้องถึงเราแน่นอน  ไม่ชาติเดี๋ยวนี้ก็ชาติหน้าแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์

เราทำอะไรเรารู้ของเราหมด ไม่ว่าที่ลับที่แจ้ง ต่อหน้าหรือว่าลับหลังใคร เมื่อเราปกปิดตัวเองไม่ได้นั่นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามาแก้ที่จิตที่ใจ อันไหนไม่ดีไม่ถูกต้องน่ะพระพุทธเจ้าท่านห้ามเราคิดเป็นเด็ดขาด ถ้าคิดมันต้องมีปัญหาแน่ ที่เราปฏิบัติไม่ได้ถึงมรรคถึงผลก็เพราะความคิดของเรานี้แหละที่มันมาขวางกั้นให้เราไม่เข้าถึงพระนิพพาน

มันจะไปพระนิพพานได้อย่างไร เพราะตัวที่ไปพระนิพพานคือตัวจิตตัวใจ เมื่อใจของเรามันยังไม่สะอาด มันยังสกปรก มันยังมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มันยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภยศ สรรเสริญ มันไม่ตัดมันไม่ทิ้ง มันยังเห็นโลกดีกว่าธรรมมันจะไปพระนิพพานได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านให้เราเน้นไปที่ใจของแต่ละคนนะ...




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

เราวิ่งไปหาความสงบมันไม่ถูกนะ เพราะว่าความสงบมันไม่ได้อยู่ที่อื่น ความสงบมันอยู่ที่ใจของเรามันสงบน่ะ ที่เราจะไม่อยากเห็นรูป ไม่อยากฟังเสียง ไม่อยากให้มันมีโลกธรรมน่ะอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง อันนั้นมันว่างจากสิ่งที่ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้ว่างจากสิ่งที่มี

คนเราน่ะมันตามใจตัวเองจนมันเป็นโรคกระเพาะ มันตามใจตัวเองจนเป็นโรคประสาท ตามใจตัวเองจนเป็นโรคจิต จนเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี แต่ที่แท้น่ะมันเป็นคนหลงโลกหลงอารมณ์หลงกิเลสน่ะ

เหมือนเราที่เป็นหนุ่มเป็นสาวอย่างนี้นะมันก็ดีมันก็มีความสุข มันไม่มีเรื่องไม่มีปัญหา ที่นี้เราหลงโลกหลงอารมณ์อยากไปมีผัวมีเมียอย่างนี้แหละปัญหาต่าง ๆ มันเลยรุมมาทุกทิศทุกทางทั้งล่างทั้งบน มันครอบงำหมด นี้แหละมันถึงเรียกว่า “ครอบครัว” มันครอบไว้  มันขังไว้ มันขังเราไว้ในวัฏฏะสงสาร มีลูกก็สงสารลูก มีหลานก็สงสาร มีภรรยาก็ต้องห่วงภรรยา ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่นอยู่อย่างนี้แหละ เพราะอะไร...? ก็เพราะเราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นการสร้างบาปสร้างอกุศลให้กับตัวเองนะ

พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราหยุดให้เราเย็น นั่งให้มันสงบ เดินจงกรมให้มันสงบ ทำอะไรก็ให้มันสงบ มันจะคิดอะไร คิดเอาปราสาทเอาวิมานมันก็ไม่ได้ มันจะได้โรคประสาทโรคจิต นั่นแหละผลลัพธ์ของมัน…

ในชีวิตประจำวันของเรานี้ต้องทำให้ใจของเรามันสงบใจของเรามันเย็น เพราะสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มันอยู่ในอริยมรรคในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรานี้แหละ เราไม่ต้องไปหาพระนิพพานไกลหรอก พระนิพพานมันอยู่ที่กายวาจาใจของเรานี้แหละ

ปรับให้ได้... เราไม่ต้องแก้ไขคนอื่น ไม่ต้องปรับปรุงคนอื่น ต้องแก้ไขที่เราที่ตัวเรา




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

เราทุกคนน่ะรักสุขเกลียดทุกข์ มีความเห็นแก่ตัว มีความยึดมั่นถือมั่นว่านี่ตัวเรา ว่านี่ของเรา ว่านี่พ่อเราแม่เรา ว่านี่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเรา พากันมาประพฤติปฏิบัติมันก็เพื่อเราอีกนั่นแหละ เพื่อเราจะได้สวรรค์เราจะได้พระนิพพาน อะไรก็มีแต่เรา มีแต่ตัวตนทั้งนั้น มันมีแต่ผลประโยชน์ เพราะว่ามันมีความมุ่งหวังคือตัวเราคือของ ๆ เรา จิตใจของเรามันเลยไม่เป็นธรรม ไม่มีความยุติธรรม คนอื่นสัตว์อื่นน่ะที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา  ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เค้าจะมีความยากลำบากอย่างไรส่วนใหญ่เราก็ไม่สน เราไม่เคยเห็นอกเห็นใจ..

เราคิดดูดี ๆ นะเรามีความเห็นแก่ตัวมากน่ะ...!

เราเกี่ยวข้องกับหมู่มวลมนุษย์คนไหนที่จะได้ประโยชน์สำหรับเราน่ะ เราก็ดูแลดี  เทคแคร์ดี แต่ถ้าคนไหนจะมาเอาผลประโยชน์กับเรา เป็นคนที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเรา นอกจากเราจะต้องเป็นผู้ที่ให้เค้าน่ะ หรือว่าเค้าเป็นคนยากคนจน ทุกคนก็ไม่อยากเกี่ยวข้อง ทุกคนก็ไม่อยากสนใจนะ นี้แหละมันถึงเป็นเหตุให้แตกแยกในหมู่คณะ แตกแยกในหมู่สงฆ์ แตกแยกในหมู่ประชาชน ประเทศชาติ พระศาสนา ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของเราทุก ๆ คนนี้แหละ ไม่ได้คิดเลยว่าประชาชนคนทั้งหลายทั้งปวงน่ะ เค้าก็เป็นญาติพี่น้องเกิดแก่เจ็บตายกับเราด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนให้ทุกคนน่ะเป็นผู้กตัญญูกตเวที เห็นคุณเห็นประโยชน์ในการดูแลเอาใจใส่คนอื่น คนเรานะถ้าแม้แต่พ่อแม่ของตัวเองก็ยังไม่ดูแลไม่สนใจน่ะเค้าเรียกว่า “คนไม่ดี เป็นคนยี่ห้อไม่ดี...”

การดูแลการให้ความเมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนทุก ๆ คน สอนพระทุกรูป สอนโยมทุกคนต้องมีเมตตาเค้าให้หมด ไม่ว่าเค้าจะเป็นคนดีคนชั่ว “ถ้าเราเอาแต่คนรวย คนจนจะเอาไปทิ้งที่ไหน ถ้าเราจะเอาแต่คนดี คนชั่วเราจะไปทิ้งที่ไหน” ที่ใจเราเป็นอย่างนี้เพราะใจของเราไม่มีธรรม ไม่มีคุณธรรม ถูกต้องมั๊ย เราลองมาดูหัวใจของเรา...!




ความเห็น (1)
ปภังกร
เขียนเมื่อ

ส่วนใหญ่เราทุกคนน่ะไม่ค่อยรู้จักไม่เห็นคุณประโยชน์ในการฝึกจิตใจ พากันไปสบายตั้งแต่โทรศัพท์ เล่นอินเตอร์เนท เฟซบุ๊ค ดูหนัง ดูละครในโทรทัศน์เค้า มีเพื่อนมีกัลยาณมิตรก็คือโทรทัศน์น่ะสำหรับคนแก่ สำหรับคนหนุ่มก็โทรศัพท์ อินเตอร์เนท เฟซบุ๊คอะไรอย่างนั้น ไม่ได้มีโอกาสได้ฝึกใจให้สงบ มันจำเป็นมากนะการฝึกทำให้ใจสงบ สิ่งต่าง ๆ ที่มันเป็นมือถือ เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นโทรทัศน์นี้แหละมันช่วยเราไม่ได้นะเวลาเราแก่เราเจ็บเราตาย  การบรรยายทุกด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้น่ะถือว่ามันยังไม่ค่อยปลอดภัย

คนฉลาดคนเก่งส่วนใหญ่มันรักษาศีลไม่ได้ มันทำสมาธิไม่ได้ เพราะมันไปเอาความสุขทางเนื้อหนัง เอาความสุขทางวัตถุ มันยังไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร กว่าจะรู้ตัวเองมันสายไปแล้วนะ


ถ้าเราปฏิบัติธรรมน่ะใจของเราก็จะสบาย ธุรกิจหน้าที่การงานของเรามันก็จะดี  เพราะในโลกนี้น่ะทุกคนต้องการคนดี ต้องการแต่สิ่งที่ดี ๆ น่ะ

ที่เราคิดว่าถ้าทำความดีมันขัดกับการทำมาหากินขัดกับการดำรงชีพลิดรอนสิทธิของเรามันเป็นการเข้าใจผิด เป็นชีวิตที่เห็นแก่ตัว เป็นชีวิตที่เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มันทำลายตัวเอง ทำลายญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล

ปัญหาต่าง ๆ น่ะให้ทุกท่านทุกคนรู้ไว้เลยนะว่ามันอยู่ที่ใจของเราไม่สงบ วิ่งตามความโลภความโกรธวิ่งตามความต้องการ คำว่า “วิ่ง วิ่ง” นี้ วิ่งเท่าไหร่มันก็ไม่สงบ พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า “นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอันไหนก็สู้ความสงบไม่ได้...”




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

เราทุก ๆ คนนี้ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ส่วนใหญ่น่ะถูกกิเลสคือความหลงในจิตในใจครอบงำกลายเป็นความอยากความต้องการ จิตใจมันเร่าร้อน ร่างกายยังไม่ตายแต่จิตใจของเรามันถูกเผาทั้งเป็น มันยังไม่ตายก็เผาแล้ว เผาทั้งกลางวันเผาทั้งกลางคืนน่ะ  มันเปรียบเสมือนแมลงเม่าพากันบินเข้ากองไฟ

สติของทุก ๆ คนมันน้อย สมาธิมันก็น้อย ปัญญาก็ไม่ค่อยจะมี มีก็มีแต่สติทางโลก สมาธิทางโลก ปัญญาทางโลก

ปัญญาทางโลกก็หมายถึงปัญญาในการดำรงชีพดำรงชีวิตในการทำมาหากินหรือว่าธุรกิจหน้าที่การงาน แต่ปัญญาทางธรรมมันไม่ค่อยจะมีน่ะ เจอรูปสวย ๆ ก็หัวใจมันสั่นหมด เจอเสียงเพราะ ๆ ก็หัวใจมันสั่นหมด เจอเค้านินทาสรรเสริญก็หัวใจมันสั่น สติสัมปชัญญะมันไม่ค่อยจะมี ไม่ได้ตัวของตัวเองเลย เหมือนกับเราถูกผีมันมาสิงจิตสิงใจของเราตลอดเลยนะ

ทุกคนน่ะยังไม่ได้พากันเข้าถึงความสุขความสงบนะ ที่ว่าความสุขของเราเดี๋ยวนี้น่ะ  มันไม่ใช่นะ มันเป็นความวุ่นวาย สร้างความวุ่นวายให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับตัวเอง  นึกว่าได้ทานอาหารที่อร่อย ๆ มันสบาย ได้สิ่งที่ไม่ขัดอกขัดใจสบาย ร่างกายสบาย อะไรก็สบายอย่างนั้นน่ะเค้าเรียกว่ามันสบายแบบวัตถุ มันเป็นการหลงวัตถุ แต่ความเสียหายคือใจของเราน่ะมันไม่สงบเลยนะ เพราะว่าวัตถุข้าวของเงินทองสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่ใช่จีรังยั่งยืน ร่างกายของเราก็ไม่จีรังยั่งยืน ทุกอย่างมันไม่จีรังยั่งยืน มันล้วนแต่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดามีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เราถึงมาพัฒนาสิ่งที่ประเสริฐที่เราเกิดเป็นมนุษย์คือมาทำจิตทำใจให้สงบ ไม่วิ่งตามอารมณ์ไม่หลงอารมณ์




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ปภังกร
เขียนเมื่อ

เราพยายามมากันตั้งมั่นในศีลห้าไว้ดี ๆ นะ... มีความสุขในการรักษาศีล ๕ มีความสุขในการไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ เราใช้สังขารเค้ามาเยอะแล้วใช้ร่างกายเค้ามาเยอะแล้ว  บางทีเราก็นั่งพับเพียบไม่ได้ นั่งคุกเข่าไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เรานั่งเก้าอี้หรือนั่งโซฟาได้  ในการไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ เพราะเรามันสังขารไม่อำนวยแล้ว ให้ไปเน้นทางจิตทางใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ให้ใจมันสงบให้ใจมันเย็น

ทุกวันนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อน ป่าไม้ก็ถูกทำลาย ภูเขาก็ถูกทำลาย แม่น้ำก็ถูกทำลาย เพราะว่าประชาชนคนที่เค้าเกิดมาเค้าแย่งทรัพยากรกัน พากันเป็นหนี้เป็นสินกันเยอะแยะมากมาย เราแก่แล้วเราสูงอายุแล้วเราก็ไม่ต้องไปคิดมัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน  เราไม่ต้องให้สิ่งต่าง ๆ มาปรุงจิตใจของเราให้มันร้อน ทั้งการบ้านการเมืองอะไรมันก็มีปัญหาต่าง ๆ แล้วก็พวกที่เห็นแก่ตัว มักง่าย ทำมาหากิน พากันเล่นการพนัน ขายยาเสพติดสิ่งเสพติดอะไรมันก็เต็มไปหมด เต็มไปด้วยผู้ที่เห็นแก่ตัว เราเป็นผู้สูงอายุก็ต้องฝึกปล่อยฝึกวาง  “ช่างหัวมัน” อย่าให้สิ่งเหล่านี้มันมาปรุงจิตปรุงใจของเรา ขยะเก่าที่มันอยู่ในจิตในใจของเรามันก็มากแล้ว ขยะใหม่ ๆ นี้มันยิ่งแย่ยิ่งสกปรก เรามาใส่ใจของเราก็จะแย่มากขึ้น

ถ้าเราไปเอาดีเอาชั่วอะไรต่าง ๆ เค้าเรียกว่าคนเก่งคนฉลาดกลายเป็นผู้ที่แบกกองทุกข์  สิ่งที่จะทำให้เราเป็นคนใจดีมีคุณธรรมเราเลยกลายเป็นคนพาลไป อดที่จะนินทาเค้าไม่ได้  เราเป็นผู้สูงอายุนี้ต้องฝึกปล่อยฝึกวางนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น

ฝึกสมาทานไม่พูดนินทาเค้า ใครเค้าจะดีจะชั่วเราก็ไม่ต้องไปพูดนินทาเค้า ฝึกพูดแต่สิ่งที่ดี ๆ น่ะ เคยพูดมากเพราะกลัวลูกหลานมันจะไม่ได้ดีไม่ได้ร่ำไม่รวย ก็สมาทานพูดน้อย  พูดแต่สิ่งที่จำเป็น เคยเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการก็สมาทานเป็นคนไม่เจ้ากี้เจ้าการ มันจะเป็นผู้ใหญ่ ใจดี เป็นผู้ใหญ่มีหัวใจติดแอร์คอนดิชั่น ลูกหลานเค้าเห็นเราเค้าก็มีความสุข เค้าก็อยากเข้าใกล้อยากมาพูดมาคุย ถ้าเราเอาแต่ว่าแต่บ่น พูดแต่เรื่องทุกข์ ๆ อะไรอย่างนี้แหละ ลูก ๆ หลาน ๆ มันก็ไม่เคารพรักนับถือเรานะ

เป็นผู้หลักเป็นผู้สูงอายุนี้ต้องฝึกชมลูก ฝึกยอลูกยอหลานให้เค้าทำความดี ไม่ต้องไปบ่นให้เค้าทำความดี คนเราถึงจะผิดถึงจะถูกมันก็ชอบฟังคำที่ดี ๆ น่ะ




ความเห็น (2)

...ทุกอย่างอยู่ที่ใจนะคะ...ยินดีด้วยค่ะ

ปภังกร
เขียนเมื่อ

ผู้สูงอายุเป็นผู้ที่ผ่านราตรีมานานย่อมมีประสบการณ์มามาก จิตใจก็สุขุมเยือกเย็น  มีความอดความทนสูง มีความเพียรมาก ถือว่าท่านเหล่านี้เป็นปูนียชบุคคลของประเทศชาติบ้านเมืองและสังคม ในโอกาสบั้นปลายชีวิตก็ยังได้เป็นแบบอย่างตัวอย่างให้กุลบุตรลูกหลาน แสดงถึงความตั้งมั่นในพระรัตนตรัยคือคุณงามความดี เมื่อมีโอกาสมีเวลาก็พากันรวมกลุ่มรวมหมู่รวมคณะมาถือศีลมาปฏิบัติธรรมมาอยู่วัด ทำอย่างนี้ดีมากถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ “เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าอย่างเป็นประโยชน์สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ...”

งานหลักของผู้ที่สูงอายุพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าก็คือการทำใจดีใจสบาย ฝึกปล่อยฝึกวางทางจิตใจ

ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงวันนี้น่ะมันก็สะสมอะไรมามาก สะสมทั้งความดีใจเสียใจ  ผ่านวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มามากมาย แต่ทุกท่านทุกคนก็ผ่านมาได้ด้วยดี พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราปล่อยเราวางมันไปเสียซึ่งอดีต ถ้าเราไม่ปล่อยไม่วางสิ่งที่เป็นอดีตสิ่งที่ผ่านไปแล้วน่ะ  ก็เปรียบเสมือนเราเดินทางไกลนี้ เรามีรถบรรทุกคันหนึ่งแล้วก็บรรทุกของไปเรื่อย เห็นอะไรก็เก็บใส่รถไปเรื่อย เต็มรถบรรทุกคันหนึ่งก็ต้องเพิ่มรถบรรทุกคันสองคันสามคันสี่คันห้า เดี๋ยวนี้ก็ได้หลายคันรถแล้วนะ




ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท