ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ผมขอบทความที่มองระบบการศึกษาไทยอย่างครอบคลุมรอบด้าน และเห็นภาพเชิงประวัติศาสตร์ ของ ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร นักวิทยาศาสตร์และนักการศึกษาที่ดีและเก่งที่สุดคนหนึ่งของสังคมไทย เอามาเผยแพร่ต่อดังต่อไปนี้ โดยที่บทความนี้ยาวกว่า ๕๐ หน้า จึงทยอยลงหลายตอน
ขอชักชวนให้ค่อยๆ อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ จะได้ประโยชน์มาก
กฤษณพงศ์ กีรติกร
ต่อจากตอนที่ ๒
ในการวิเคราะห์พัฒนาการศึกษาก่อนที่เรามาถึงจุดนี้ เราจะเห็นมรดกทางการศึกษาหลายอย่างที่ได้ใช้ประโยชน์และเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ซึ่งเป็นผลจากระบบการศึกษาเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีที่แล้ว ตามสาระ พ.ร.บ. ประถมศึกษา 2464 เราออกแบบการศึกษาเพื่อออกไปประกอบอาชีพได้ ดังที่แสดงในไดอะแกรมแผนการศึกษาชาติ 2447 หรือเรียกว่า ศึกษาพฤกษ์ กรอบแนวคิดระบบการศึกษาดั้งเดิม นักเรียนสามารถออกไปประกอบอาชีพได้หลายระดับตั้งแต่ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย และอุดมศึกษา ต่างจากปัจจุบันที่ต้องขึ้นบันได 12 ปีการศึกษาขั้นพื้นฐานและขึ้นบันไดอุดมศึกษา อีก 4 ปี ถึงไปประกอบอาชีพได้ การศึกษาปัจจุบันไม่ได้เป็นสะพานข้ามสู่อาชีพได้หลายระดับเช่นในอดีต ที่เรียน 4, 7, 10, 12 ปีก็ออกไปประกอบอาชีพได้ ปัจจุบันคนคิดว่าต้องจบอุดมศึกษา ต้องเรียนหนังสือ 16 ปี จึงทำงานได้
หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีการเปลี่ยนแปลงทางสาธารณสุขและสุขภาพอนามัยที่ส่งผลต่อการศึกษา ระบบสาธารณสุขดีขึ้น คนเกิดมากขึ้น เด็กตายน้อยลง เด็กเพิ่มขึ้นมากต้องขยายการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการผลิตครูจำนวนมากเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้วเพื่อรับการขยายตัวของนักเรียนประถมศึกษา เพิ่มทั้งจำนวนวิทยาลัยครู เพิ่มหลักสูตรภาคค่ำ ขยายการผลิตครูมากเกินขอบเขตและหยุดยั้งไม่ได้ รวมทั้งเมื่อประมาณ 40 ปี รัฐบาลสนองความต้องการความอยากได้ปริญญาของคนไทย แต่ไม่สามารถขยายมหาวิทยาลัยได้ แต่ให้เรียนครูระดับอุดมศึกษาเพื่อได้ปริญญา การเรียนอุดมศึกษาจึงเป็นเรื่องของฐานานุภาพ มากกว่าสาระและการมีงานทำ สร้างปัญหาครูตกงานสองทศวรรษหลังจากนั้นหรือประมาณเกือบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจเมื่อประมาณ 50 ปี ผ่านกลไกส่งเสริมการลงทุนก็ส่งผลต่อการศึกษาเช่นกัน ประเทศของเราต้องการพัฒนาโดยการส่งเสริมการลงทุนในเบื้องต้นเพื่อผลิตทดแทนการนำเข้า และในช่วงต่อมาเพื่อการส่งออก การส่งเสริมการลงทุนเน้นการสร้างงาน (employment) ให้กำลังแรงงานที่เพิ่มจำนวนขึ้น รวมทั้งส่งให้การอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาขยายตัว แต่ประเทศไทยไม่ได้ผูกเงื่อนไขการลงทุนกับสร้างความเข้มแข็งของการศึกษาเทคนิค การศึกษาวิชาการและวิชาชีพ ที่สร้างคนสู่อาชีพ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการวิจัยพัฒนาในภาครัฐและเอกชน ควบคู่กันไป ทั้งนี้การศึกษาที่สร้างคนสู่อาชีพคืออุดมศึกษาและอาชีวศึกษาของไทย จึงแยกจากภาคการผลิต (Real Sector) อย่างสิ้นเชิง และมีความอ่อนแอ การพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีและการวิจัยจึงไม่เกิด ต่างจากประเทศเอเชียตะวันออก เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี สิงค์โปร์ เมื่อประเทศเหล่านี้เปิดประเทศ การลงทุนทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมการลงทุนได้ผูกกับระบบศึกษารวมถึงอุดมศึกษาด้วย ประเทศเหล่านี้การอาชีวศึกษาและการอุดมศึกษาจึงแข็งแรงควบคู่กับระบบการผลิต กลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา ประเทศเอเซียตะวันออกจึงเติบโตไปเป็นประเทศที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ในทศวรรษ 2540
บทความชุดนี้เป็น master piece ด้านให้ความลุ่มลึกในการทำความเข้าใจระบบการศึกษาไทย ต้องอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์จึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่
วิจารณ์ พานิช
๒๖ พ.ค. ๕๒
ไม่มีความเห็น