สถาบันอุดมศึกษาที่เน้นการสร้างสรรค์ผลงานวิชาการสายรับใช้สังคมไทยจะต้องสร้าง infrastructure ทางวิชาการที่ไม่เคยมีมาก่อน อาทิเช่น
• รองอธิการบดีฝ่ายเครือข่ายสังคม และรองคณบดีฝ่ายเครือข่ายสังคม ทำหน้าที่จัดระบบและพัฒนาระบบการทำงานร่วมกับภาคชีวิตจริงในสังคม ในลักษณะที่ไม่ใช่งานอาสา หรืองานที่จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่เป็นงานภาคบังคับ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าตอบแทน และการเลื่อนตำแหน่งเลื่อนเงินเดือน
• สำนักหรือกองเครือข่ายสังคม ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล/สารสนเทศ เกี่ยวกับภาคชีวิตจริงที่มหาวิทยาลัยมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปร่วมงานเป็นภาคีหรือเครือข่ายกัน รวมทั้งเก็บข้อมูล/สารสนเทศของผลงานของมหาวิทยาลัย และผลกระทบต่อท้องถิ่นหรือประเทศจากผลงานแต่ละชิ้น/ด้าน ของมหาวิทยาลัย สำนัก/กอง นี้ต้องทำงานเชิงรุก ออกไปทำความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ขององค์กร/ท้องถิ่น/ประเทศ และเข้าใจวัฒนธรรม/ความคิด/ความต้องการ ของภาคีเหล่านั้น
• เงินทุนสำหรับริเริ่มกิจกรรมรับใช้สังคม ในลักษณะ “ใช้ปลาหมึกตกปลากะพง” เพื่อสร้างผลงานและความน่าเชื่อถือจากภาคีหรือแหล่งทุน เงินนี้ควรมีประมาณร้อยละ ๑๐ ของขนาดของกิจกรรมรับใช้สังคมในภาพรวมของแต่สถาบันอุดมศึกษา มองอีกมุมหนึ่ง กิจกรรมรับใช้สังคม คือแหล่งหารายได้ของสถาบันอุดมศึกษา
• ข้อความกำหนดนโยบาย (policy statement) ด้านการรับใช้สังคม ที่กำหนดหรือได้รับความเห็นชอบโดยสภามหาวิทยาลัย และมีแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงานระยะยาว (๕ – ๑๐ ปี) และแผนดำเนินการรายปี ที่ฝ่ายบริหารนำเสนอขอความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย
• ปฏิรูปหลักสูตรและรายวิชาต่างๆ ให้มีการออกไปทำงานในลักษณะเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ กับภาคชีวิตจริง ให้บูรณาการเป็นภาคบังคับ และภาคที่มีการประเมินความรู้และทักษะ เรื่องนี้ สกอ. ต้องจัดระบบประสานงาน/ประสานการเรียนรู้และพัฒนาระบบ ต่อเนื่องยกระดับไปจากสหกิจศึกษา
• ปรับระบบการทำงานของอาจารย์ ให้ต้องมีภาระงานด้านการทำงานรับใช้สังคม และมีการประเมินผลงานด้านนี้ประกอบการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งวิชาการ รวมทั้งมีระบบกำหนดเกณฑ์คุณภาพของผลงานวิชาการสายรับใช้สังคมไทย โดย สกอ. ต้องเข้ามาประสานการพัฒนาระบบเช่นเดียวกัน สกอ. ควรยกย่องให้รางวัล “รางวัลผลงานรับใช้สังคมดีเด่น” ทั้งประเภททีม และประเภทบุคคล อย่างละ ๑๐ รางวัล โดยมีเป้าหมายเพื่ออธิบายผลงานที่ควรยกย่อง และเปิดเวทีให้ผู้ได้รับรางวัลได้เล่าเรื่องราว (storytelling) การทำงาน และผลต่อประเทศ จากงานของตน สำหรับเป็น “การจัดการความรู้” เรื่องการทำหน้าที่อุดมศึกษารับใช้สังคมไทย
• เราสามารถใช้ความสร้างสรรค์ ในการสร้างระบบวิชาการสายรับใช้สังคมไทย จากมุมของการสร้าง infrastructure ทางวิชาการสายใหม่นี้ขึ้น และเมื่อดำเนินการไป ก็จะพบลู่ทางกระตุ้น หรือสร้างความคึกคักสนุกสนานภาคภูมิใจ โดยมีหลักการว่า ต้องสร้าง infrastructure ที่สนองแรงจูงใจ สร้างแรงบันดาลใจ ชื่นชมยกย่องผลงาน เป็นหลัก ไม่ใช่เน้นการบังคับฝืนใจ
วิจารณ์ พานิช
๑๒ ก.ค. ๕๓
จะมีมหาวิทยาลัยไหนไหมคะที่รับแนวคิดนี้ไปปฏิบัติ ??? อยากเห็นคะ