นอน เท่าไหร่พอ


...การอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือเบาๆ หรือสวดมนต์ช้าๆ มีส่วนช่วยให้หลับได้ดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเร้ารุนแรงก่อนนอนทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เช่น ข่าว 4 จังหวัดภาคใต้ รายการน้ำเน่า ข่าวรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ฯลฯ...

แม่ค้างีบที่พุกาม2548

เราๆ ท่านๆ อาจจะสงสัยว่า นอนคืนละเท่าไหร่จึงจะพอ วันนี้ผู้เขียนมีข่าวดีจากจดหมายข่าวโรงพยาบาลเซนต์แอกเนสมาเล่าสู่กันฟังครับ

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Institute of Health / NIH) ให้ข้อมูลว่า การนอนช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เสริมความจำ และฝัน

คนเราไม่ได้หลับลึกเท่ากันทั้งคืน ทว่า...มีระยะของการหลับตื้นไปการหลับลึก จากหลับลึกไปสู่การฝันสลับกันไปจนครบรอบหนึ่ง (cycle) แล้วจึงเริ่มรอบใหม่อีกหลายครั้ง รอบหนึ่งกินเวลาประมาณ 90-110 นาที วันละ 4-5 รอบ

การหลับแบ่งเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ ได้แก่ การหลับแบบไม่ฝัน 4 ระยะ (stages) ระยะของการหลับแบบไม่ฝันนานประมาณ 1 ชั่วโมง และการหลับแบบฝัน 1 ระยะ รวมเป็นรอบละ 5 ระยะได้แก่

  1. ระยะที่ 1:
    การหลับแบบไม่ฝันนานประมาณ 5 นาที ช่วงนี้อาจเห็นภาพเป็นช่วงสั้นๆ ไม่ต่อเนื่องกัน กล้ามเนื้ออาจกระตุกเล็กน้อย ความถี่คลื่นสมองลดลง
  2. ระยะที่ 2:
    เป็นช่วงที่ร่างกายคนเราเริ่มพักผ่อน การหายใจลง อุณหภูมิร่างกายลดลง คลื่นสมองช้าลงไปอีก ลูกตาจะหยุดกลอกไปมา ระยะที่ 1-2 รวมกันเป็นระยะหลับตื้น
  3. ระยะที่ 3:
    คลื่นสมองจะช้าลงไปอีกเป็นคลื่นช้า(เดลท่า) ความดันเลือดลดลง ร่างกายจะผ่อนคลายมาก
  4. ระยะที่ 4:
    เป็นระยะที่ร่างกายผ่อนคลายมากที่สุด ช่วงนี้ร่างกายจะซ่อมแซมส่วนสึกหรอ ฮอร์โมนเติบโตจะหลั่งออกมา มีการสร้างเม็ดเลือดขาว สร้างสารเคมีระบบภูมิต้านทานโรค ระยะที่ 3-4 เป็นระยะหลับลึก ปลุกให้ตื่นได้ยากกว่าระยะหลับตื้นหรือฝัน ระยะหลับลึกนานประมาณ 60 นาที
  5. ระยะที่ 5:
    ระยะที่ 5 เป็นระยะหลับแบบฝัน ช่วงนี้ชีพจร และการหายใจจะเปลี่ยนแปลง เร็วบ้างช้าบ้าง ลูกตาจะกลอกไปมา คลื่นสมองมีลักษณะคล้ายคนที่ตื่นอยู่ การฝันเกือบทั้งหมดจะเกิดขึ้นในระยะนี้ ระยะนี้เป็นช่วงการหลับที่มีการกลอกลูกตาไปมา(ทั้งๆ ที่หลับตา) หรือ “อาร์ อี เอ็ม (rapid eye movement / REM)”

 

การหลับแบบฝันมีประโยชน์ต่อกระบวนการจดจำ และการเรียนรู้ ระยะการหลับแบบฝันกินเวลาประมาณ 10 นาที และจะเข้าสู่ระยะที่ 1 ซ้ำอีกหลายรอบจนกระทั่งตื่นนอน

การหลับเกิดเป็นวงรอบ (cycles) หลายๆ รอบ รอบละประมาณ 90-110 นาที การหลับในรอบหลังๆ จะมีช่วงการหลับลึก(หลับแบบไม่ฝันระยะ 3-4)สั้นลง การหลับแบบฝัน(ระยะ 5)ยาวขึ้น

ช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่การหลับส่วนใหญ่อยู่ในระยะหลับตื้น (ระยะ 1-2) และระยะหลับฝัน (ระยะ 5) เป็นส่วนใหญ่ จึงปลุกให้ตื่นได้ง่ายกว่าช่วงแรกของการหลับ

คนเราจะมีช่วงการหลับแบบฝันลดลงตามอายุ เด็กทารกมีระยะหลับแบบฝัน(ระยะ 5)วันละ 8 ชั่วโมง ผู้ใหญ่อายุน้อยมีระยะหลับแบบฝันวันละ 2 ชั่วโมง คนสูงอายุ(70 ปี)มีระยะหลับแบบฝันวันละ 45 นาที

คนเราจะต้องการนอนหลับคืนละไม่เท่ากัน บางคนนอนมาก บางคนนอนน้อย

ทว่า... คนเกือบทั้งหมดต้องการนอนอย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง หรือดีที่สุดประมาณวันละ 8 ชั่วโมง การนอนไม่พออาจทำให้คนเราหลงๆ ลืมๆ สับสน และทนต่อความกดดันรอบด้านได้น้อยลง

สถิติของหน่วยงานบริหารความปลอดภัยบนถนน (National Highway Traffic Safety Administration) สหรัฐฯ กล่าวว่า

การนอนไม่พอมีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุปีละ 100,000 ครั้ง และเป็นสาเหตุการตายปีละ 1,500 คน

นักวิทยาศาสตร์(ใจร้าย)นำหนูมาทดลอง กลุ่มหนึ่งให้นอนตามธรรมชาติ กลุ่มนี้มีอายุขัยประมาณ 3 ปี อีกกลุ่มหนึ่งไม่ให้นอน กลุ่มนี้จะมีอายุขัยเหลือ 3 สัปดาห์ อายุยืนต่างกันถึง 17.33 เท่า

ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่า การนอนมีความสำคัญต่อระบบประสาท ทำให้เซลล์ประสาทมีช่วงเวลาได้พักผ่อน ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ

นอกจากนั้นการหลับยังช่วยในการหลั่งฮอร์โมนเติบโตในเด็กและผู้ใหญ่อายุน้อย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ตามปกติ

คำแนะนำเพื่อสุขภาพการนอนที่ดีมีอย่างนี้ครับ...

  1. นอน-ตื่นให้ตรงเวลา:
    ร่างกายคนเรามีนาฬิกาเวลา การนอน-ตื่นให้ตรงเวลาทั้งวันทำงานและวันหยุดช่วยให้ร่างกายพักผ่อนได้ดีกว่าการนอนผิดเวลา
  2. ออกกำลังกาย:
    การออกกำลังกายช่วยให้คนเราหลับสนิท ทว่า... ไม่ควรออกกำลังใกล้กับเวลาเข้านอน ควรออกกำลังก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง (= ไม่ควรออกกำลังอย่างหนักใกล้เวลานอน)

  3. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น:
    ไม่ควรดื่มกาแฟ สารที่มีคาเฟอีน เช่น ชา(รวมทั้งชาเขียว) น้ำอัดลมหลายชนิด ช็อคโกแล็ต เครื่องดื่มบำรุงกำลัง (เช่น กระทิงแดง เอ็ม 150 ฯลฯ) ฯลฯ แอลกอฮอล์(เหล้า เบียร์ ไวน์...)

    ไม่สูบบุหรี่ก่อนเวลานอนประมาณ 6 ชั่วโมง ถ้าหลับยากควรงดกาแฟและสารที่มีคาเฟอีนตั้งหลังเที่ยงวัน หรือดื่มกาแฟชนิดมีคาเฟอีนให้ห่างจากเวลานอนอย่าน้อย 6 ชั่วโมง หลังจากนั้น... ถ้าอยากดื่มชาหรือกาแฟ แนะนำให้ดื่มชนิดไม่มีคาเฟอีนแทน (decafeinated)

  4. ผ่อนคลาย:
    การอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือเบาๆ หรือสวดมนต์ช้าๆ มีส่วนช่วยให้หลับได้ดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเร้ารุนแรงก่อนนอนทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เช่น ข่าว 4 จังหวัดภาคใต้ รายการน้ำเน่า ข่าวรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ฯลฯ
  5. ถ้านอนไม่หลับ:
    ไม่ควรนอนนิ่งๆ นานเกินไป ให้ลุกขึ้นมาช้าๆ หาอะไรทำ เช่น อาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือเบาๆ สวดมนต์ช้า ฯลฯ จนเริ่มง่วงแล้วจึงเข้าไปนอนใหม่
  6. ขอความช่วยเหลือ:
    ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังนอนไม่หลับ แนะนำให้ปรึกษาบุคลากรสุขภาพหรือแพทย์ที่ดูแลท่าน ถึงตรงนี้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านนอนหลับ ฝ้นดี(เรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่น ไหว้พระเจดีย์ ฯลฯ)ครับ...

ภาพพม่า:                                                                                                       

>>> ภาพประกอบหัวเรื่องด้านบน -> ภาพแม่ค้างีบที่พุกาม 2548

พุกามเป็นเมืองหลวงเก่าก่อนถูกเจงกิสข่านบุกทำลาย อยู่ในภาคกลางของพม่า ใกล้กลุ่มเมืองหลวงเก่าตอนบน(อมราปุระ มัณฑเลย์ สกายน์)



พื้นที่ส่วนนี้ของพม่าจะมีฝนตกค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีแนวภูเขาพาดในแนวเหนือ-ใต้บังลมมรสุมหลายแนว ทำให้ฝนตกน้อยกว่าส่วนอื่นๆ ของประเทศ

ผู้เขียนสังเกตว่า คนพุกามเป็นคนใจเย็น ไม่มักโกรธ ดูจะมากด้วยเมตตา พูดจาไพเราะ คนมัณฑเลย์ว่าใจเย็นแล้ว... คนพุกามยังใจเย็นกว่าเยอะ



ปัญหาใหญ่ของพุกามในปัจจุบันคือ เป็นเมืองกึ่งทะเลทราย ปริมาณน้ำฝนที่ตกทั้งปีต่ำมาก อาศัยน้ำจากแม่น้ำอะเยยาวดี (Ayeyawadee) หรือที่ไทยเรียกว่า "อิระวดี"

เย็นๆ จะเห็นชาวบ้านไปตักน้ำจากแม่น้ำมาใช้ เวลาคนพม่าพูดถึงแม่น้ำอะเยยาวดี (อิรวดี / irrewaddy)... ดูเขาจะพูดด้วยความนอบน้อมต่อแม่น้ำสายวัฒนธรรมแห่งนี้



ถ้าช่วยกันปลูกต้นไม้ให้มากขึ้นอาจจะชะลอภาวะกึ่งทะเลทรายให้กลายเป็นทะเลทรายช้าลงได้

1). เชิญชมภาพใหญ่ แก้ไขภาพที่ไหว (motion blur) ด้วยการแต่งภาพ ภาพเดิมรีบถ่ายมาก ไม่ได้ใช้แฟลช รีบถ่าย ทำให้เกิดภาพสั่น (motion blur) คนพม่าถือว่า การถ่ายภาพต้องขออนุญาต จึงลักลอบถ่ายภาพ ไม่ได้ขออนุญาต ขอถือโอกาสนี้... ขออภัยท่านแม่ค้าในรูปผ่านบล็อกอย่างเป็นทางการ...     
>>>>> คลิกที่นี่ [ Click ] <<<<<

2). เชิญชมภาพใหญ่ แต่งภาพทำให้ดูคล้ายภาพสีน้ำ
>>>>> คลิกที่นี่ [ Click ] <<<<<

ขอแนะนำ...                                                    

    แหล่งที่มา:                                      

  • ขอขอบคุณ > http://stagnes.netreturns.biz/HealthInfo/Story.aspx?StoryID=3D7C3523-88CA-4600-B5B1-51A441004FD1 > May 15, 2006.
  • ขอขอบคุณ > http://stagnes.netreturns.biz/HealthInfo/Story.aspx?StoryID=8FB9BD13-CD33-4A10-8948-6AE308F14F21 > May 15, 2006.
  • ข้อมูลและการอ้างอิงในบล็อก บ้านสุขภาพมีไว้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค
  • ท่านที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้
  • ขอขอบพระคุณ > อาจารย์เทวินทร์ อุปนันท์ IT โรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรี
  • ขอขอบพระคุณ > อาจารย์ ณรงค์ ม่วงตานี และอาจารย์เทพรัตน์ บุณยะประภูติ IT ศูนย์มะเร็งลำปาง 
  • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ จัดทำ > ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙
หมายเลขบันทึก: 29430เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2006 16:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

เรียนคุณหมอวัลลภ

  • ขอขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ ให้ได้อ่านกัน
  • คนที่ กิน/นอน เป็นเวลามีผลทำให้อายุยืน (ถ้าไม่ตายด้วยอุบัติเหตุเสียก่อน)
  • การที่คนเราต้องนอน 1/3 ของวันเพราะ คนเรามีระบบประสาทซับซ้อน การนอนหลับสนิททำให้ระบบประสาทได้ปรับตัวเข้าสู่สมดุลย์ และระบบฮอร์ไมนต่างๆ ก็ปรับตัวเข้าสู่สมดุลย์ด้วย (ระบบประสาทและระบบฮอร์โมนเชื่อมต่อกันที่ Hypothalamus ที่สมองครับ)
  • คนที่อายุยืนนอกจากเรื่องทางกายภาพแล้ว ต้องเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนสัตว์หรือละเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยครับ
  • ข้อนี้เป็นคำถามครับ คนที่มีความจำเป็นต้องทำงานกลางคืน เช่น รปภ. ยาม พนักงานขับรถทัวร์ มีผลทำให้อายุสั้นลงหรือไม่ครับ
  • เห็นคุณค่าของการนอนครับ
  • ทำได้ทุกข้อ แต่ทำไม่ได้คือ ต้องกินกาแฟครับ
  • ทำวิจัยดึกทุกคืน แต่มีความสุขดี
  • ขอบพระคุณคุณหมอมากครับ...จะไปนอนแล้วครับ
  • ลืมไปเพิ่ง  16.53 น. เอง
  • ขอขอบคุณอาจารย์สมลักษณ์ อาจารย์ขจิต และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • อาจารย์ทั้งสองกรุณาให้ข้อคิดเห็นแทบจะสวนทางกับการนำเรื่อง+ภาพขึ้นบล็อก สมกับที่เป็นยุคออนไลน์ (online)
  • พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในจักกวัติสูตรว่า...
    1). การไม่ฆ่าสัตว์(งดเว้นจากปาณาติบาต)เป็นปัจจัยให้อายุยืนครับ
    2). ศีลข้ออื่นๆ เป็นปัจจัยให้อายุยืนเหมือนกัน
    3). การรักษาศีลของพ่อแม่เป็นความประพฤติ หรือปโยคะ ทำให้บุญของลูกให้ผล > เป็นเหตุให้ลูกอายุยืนได้
  • ขออนุโมทนาอาจารย์สมลักษณ์ที่แสดงเรื่องไม่ฆ่าสัตว์ สาธุ สาธุ สาธุ...

  • อีกเหตุหนึ่งของการมีอายุยืน (อรรถกถาวิสุทธิมรรค)
    1). อโมหะ (วิชาหรือความรู้) เป็นเหตุให้อายุยืน เช่น การรักษาสุขภาพบนข้อมูลที่ถูกต้อง ฯลฯ
    2). อโทสะ (ไม่มักโกรธ) เป็นเหตุให้แก่ช้า
    3). อโลภะ (ไม่โลภมาก) เป็นเหตุให้มีทรัพย์

  • อุปนิสัยคนเราสืบต่อกันมาหลายชาติ คนที่ไม่โลกมากมีโอกาสทำบุญ โดยเฉพาะทาน และการไม่ตระหนี่ของส่วนรวม (ยึดของส่วนรวมเป็นส่วนบุคคล)มากกว่า

  • เท่าที่ทราบ... คนที่ทำงานกลางคืนอายุไม่สั้นลงครับ
    1). อายุเฉลี่ยหมอในไทย เดิมคิดว่า สั้นกว่าประชากร ตอนหลังแก้ไขวิธีสำรวจวิจัยใหม่ พบว่า น่าจะมากกว่าค่าเฉลี่ยประชากร
    2). อายุเฉลี่ยหมอในสหราชอาณาจักร(อังกฤษ)มีการพยากรณ์ว่า ต่อไปหมอจะมีอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ยประชากร เพราะหมอสูบบุหรี่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยประชากรมาก
    3). อย่างไรก็ตาม... ผลของการอดนอน หรือนอนไม่เป็นเวลากลับมีผลเสียอย่างอื่น เช่น เสี่ยงอุบัติเหตุมากขึ้น ความเสี่ยงมะเร็งเต้านมในผู้หญิงเพิ่มขึ้น ฯลฯ
  • อีกเหตุผลที่ทำให้คนทำงานกลางคืนอายุไม่สั้นคือ คนจนอายุสั้นกว่าคนรวยและคนชั้นกลาง(โดยเฉลี่ย)
  • ถ้าอยากมีอายุยืน...
    1). แสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง
    2). รักษาสุขภาพตามข้อ (1)
    3). ขยัน ประหยัด อดออม  
    4). ไม่ฆ่าสัตว์อย่างที่อาจารย์สมลักษณ์แนะนำ
  • ถ้าไม่ฆ่า แต่เบียดเบียนสัตว์ กรรมจะส่งผลให้อายุไม่สั้น แต่มีโรคมาก
  • ได้อ่าน Blog ของอาจารย์แล้วผมมีความสุข
  • ได้เติมอาหารทางจิตวิญญาณ
  • ได้ความรู้และคุณธรรมในการดำเนินชีวิตครับ
  • ขอขอบคุณอาจารย์บอย ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • ผมเองก็ได้รับประโยชน์จากชุมชน NUKM มาก ได้เข้าไปอ่านเรื่องดีๆ จากบล็อกของอาจารย์หลายท่าน เช่น อาจารย์มาลินี อาจารย์มนุษย์ผึ้ง อาจารย์บอย ฯลฯ 
  • ขอขอบคุณครับ...                                                
  • ขอบพระคุณคุณหมอมากครับ
  • ในศาสนาพุทธมีอะไรน่าศึกษามากกว่าที่ผมคิด หลังจากการอ่านเรื่องที่คุณหมอนำเสนอ
  • จากประสบการณ์พบว่า เวลานอนที่เหมาะสมอยู่ที่ 7 - 8 ชั่วโมง เหมือนที่คุณหมอบอกเลยครับ
  • ถ้านอนน้อยไป (ตอนอยู่กรุงเทพฯ) ก็มักจะหลับคาโต๊ะทำงานอยู่บ่อยๆ
  • แต่ถ้านอนมากไป ก็จะง่วงเหงาหาวนอนทั้งวันอีกเหมือนกันครับ ทีนี้กลางคืนก็จะหลับยาก
  • การนอนไม่หลับเป็นทุกข์อย่างนึง
  • การนอนไม่พอก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากมายในบ้านเราเหมือนกันครับ เพียงแต่ไม่มีใครศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
  • จากงานวิจัยเรื่อง "การศึกษาอุบัติเหตุของรถโดยสารในประเทศไทย" ก็บอกว่า อุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ลูกโซ่ครับ เช่น การที่ผู้ขับรถโดยสารวิ่งรอกในช่วงสงกรานต์ ทำให้นอนไม่พอ ก็เลยง่วง แล้วหลับ ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ
  • ดังนั้นการเดินทางด้วยรถบัสในช่วงเทศกาลจึงมีความเสี่ยงมากกว่าช่วงปกติ (ผมคิดเอง ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย) ควรเลือกเดินทางโดยรถไฟ เพราะระเบียบการรถไฟ บอกให้ต้องเปลี่ยน พขร ทุก 4 ชั่วโมง (โดยประมาณ)
  • อีกทั้ง ระเบียบฯ บอกให้ต้องตรวจสุขภาพ พขร เป็นประจำ ในขณะที่ ไม่เคยได้ยินว่ามีระเบียบนี้ในหมู่คนขับรถบัส 
  • ที่สำคัญกว่าจะเป็น พขร รถไฟได้ ใช้เวลาหลายปี มีกระบวนการมากมายกว่าจะได้ขับรถไฟ ในขณะที่ รถบัส ถ้าขับเป็นก็ขับกันไป ใบขับขี่ บางทีก็ไม่มี บางทีก็ซื้อมา
  • ในส่วนหัวรถจักร ก็จะมีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่เรียกว่า Dead Man Switch ถ้า พขร หลับ เครื่องยนต์จะหยุดเองภายในไม่กี่วินาที (จะมีการเตือนก่อน ถ้า พขร ไม่ตอบสนองการเตือน เครื่องก็จะดับเอง)
  • ได้ยินว่าที่ออสเตรเลียก็กำลังมีการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของความเหนื่อยล้ากับการเกิดอุบัติเหตุอยู่ครับ
  • จะเที่ยงคืนแล้วครับ สงสัยคืนนี้ผมคงนอนไม่พออีกตามเคย
  • ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที้นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
  • ขอขอบคุณอาจารย์ขจิต อาจาร์เปมิช ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • เรื่องจำนวนชั่วโมงนอนนี่... แต่ละคนจะต้องการไม่เท่ากัน สำหรับผมนี่ค่อนข้างมาก 7 ชั่วโมง+10 นาที
  • คนที่นอนมากอย่างนี้คงไม่เหมาะสำหรับการทำงานเป็นกะ
  • ถ้ากล่าวถึงการนอนไม่หลับแล้ว...
    อรรถกถาปุตตสูตร อิติวุตตกะ
    ท่านกล่าวถึงเหตุไว้เหมือนกัน เป็นผลจากการล่วงกาเมสุมิจฉาจารในอดีต เข้าใจว่า กรรมนี้ส่วนใหญ่มักจะทำเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ทั้งผู้ทำ ผู้ร่วมทำ และเจ้าทุกข์(สามีตัวจริง)นอนไม่หลับกันไปหมด
  • ทว่า... พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนเรายอมจำนน หรือยอมแพ้ ทรงแสดงกรรมและผลของกรรมเพื่อให้เราสำรวมระวัง
  • ถ้าเรานอนไม่หลับก็มีวิธีแก้ไขโดยใช้ความพยายาม(บาลี = ปโยคะ)อื่นๆ เช่น วิธีที่ทางโลกใช้กันอยู่ ฯลฯ
  • เรื่อง "ขับขี่ปลอดภัย (Road safety)" ทั้งบทความ บันทึก และข้อคิดเห็นของอาจารย์เปมิชน่าสนใจมาก เป็นเรื่องความเป็นความตายของพวกเราทุกคน เรียนเชิญท่านผู้อ่านติดตามอ่านด้วยครับ...
  • บล็อกของอาจารย์เปมิชอยู่ที่นี่...
    <<<<< [[[ คลิก = Click ]]] >>>>>

 

  • ขอบคุณครับ
  • ปกติผมเป็นคนหลับง่ายครับ เรียกว่าหัวถึงหมอนก็เหมือนปิดสวิทช์
  • สาเหตุการนอนไม่หลับ (ตอนกลางคืน) ของผม คือ 1.เผลอนอนตอนกลางวัน ซึ่งปกติผมไม่นอนกลางวัน เพราะมักจะปวดหัวทุกที 2.มีเรื่องต้องคิด คิดโน่นคิดนี่ คิดไปคิดมา นับแพะก็แล้ว นับแกะก็แล้ว ก็ยังไม่หลับ นับไปนับมาเช้าพอดี
  • โชคดีที่อาการนอนไม่หลับนี้นานๆ ถึงจะเป็นสักที ปีหนึ่ง ไม่น่าจะถึง 5 ครั้ง ไม่งั้นแย่เลยครับ

เขาว่ากันว่า (เชิญ Discuss ตามอัธยาศัยครับ)

  • พระนักวิปัสสนาเก่งๆ นอนวันละชั่วโมงสองชั่วโมงก็เป็นการพักผ่อนที่เพียงพอแล้วเพราะท่านหลับลึก
  • พระวิปัสนาที่เข้าสู่สมาบัติ จะนั่งเฉยๆ อยู่ได้ตั้งหลายวันโดยไม่ขยับเลย
  • โยคีบางท่านสามารถเอาตัวฝังอยู่ในหลุม (บำเพ็ญเพียร) อยู่ได้เป็นอาทิคย์ (ดูเหมือนเคยออกทีวี)

พูดถึงศีลข้อปาณาที่อาจารย์กล่าวถึง  ขอความรู้และวิธีปฏิบัติเผื่อแม่บ้านท่านอื่นด้วย

ในฐานะที่เป็นแม่บ้าน  เรื่องมดและแมลงสาบ  ทั้งที่ป้องกันโดยรักษาความสะอาด  และแผ่เมตตาว่าอย่ารบกวนกัน  แต่นานๆครั้งก็มีเล็ดลอดมารบกวนเราจะทำอย่างไร 

ส่วนการนอนไม่หลับไม่มีปัญหา  เพราะภาวนาก็หลับง่ายค่ะ

  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช อาจารย์นุช ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • จำนวนชั่วโมงนอนแต่ละท่านไม่เท่ากันครับ... ใครนอนน้อยและไม่เพลียก็ขอแสดงความยินดีด้วย
  • เรื่องมด... ได้ยินมาจากท่านพระอาจารย์สมบัติ นันทิโก ท่านสังเกตว่า มดไม่ค่อยชอบผงแป้ง จะไม่เดินข้ามแนวแป้ง > ผมใช้แป้งโรยป้องกันมดเป็นแนวไว้... ได้ผลดีทีเดียว
  • ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขความเจริญ นอนหลับง่าย หลับได้พอดี และมีสุขภาพดีครับ

แถมเรื่องยุงครับ หนังสือที่เคยอ่านมาบอกว่า

  • ยุงใช้วิธี Detect รังสี Infrared ที่คนแผ่ออกมา (คล้ายๆ Heat Seeking Missile) พอรู้ทิศทางแล้วก็จะไปกัดคนที่ปล่อยรังสีออกมา
  • คนผอมจะปล่อย Infrared ออกมามากกว่าคนอ้วน
  • ดังนั้น (ตามทฤษฎี) ยุงจะกัดคนผอมมากว่าคนอ้วน
  • แต่ถ้าคนผอมตั้งใจแน่วแน่ว่าฉันจะไม่ตบยุงอีกต่อไป ยุงก็จะไม่ (ค่อย) กัดคนผอมผู้นั้นครับ โดยมิต้องทายากันยุงแต่อย่างใดเลยครับ
  • อย่าเพิ่งเชื่อครับ ลองดูเลย

ส่วนแมลงสาบนั้นคุณแม่ผมใช้วิธีจับใส่ถุงแล้วไปปล่อยนอกบ้านตามป่าหญ้าครับ

แป้งกันมดที่ขายกัน ได้ยินว่ามีสารพิษอยู่ใช่ไหมครับ ดังนั้นน่าจะเอาแป้งฝุ่นทาตัวน่าจะดีกว่า

  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • เพิ่งทราบข่าวร้ายสำหรับคนผอมเรื่องอินฟราเรด(รังสีความร้อน)ที่ยุงชื่นชอบ(จากอาจารย์เปมิชว่าไว้)...
  • ถ้าอย่างนั้น                                                       
    1).___ ขอแสดงความดีใจกับคนอ้วนที่ปล่อยอินฟราเรดน้อยกว่า สงสัยจะมีฉนวนกันความร้อน ทำให้อุณหภูมิผิวกายลดลง
    2).___ ขอแสดงความเห็นใจคนผอม
  • เท่าที่ทราบ__ ยุงตรวจจับคนได้อย่างนี้ครับ...             
    1). แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากับลมหายใจ ยิ่งร่างกายมีการเผาผลาญสูง เช่น เคลื่อนไหวมาก ฯลฯ ยิ่งมีแก๊สนี้ออกมามาก
    2). มีบริษัทกำจัดยุง(บาปจัง)ทำเครื่องปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ผมไปถามที่โฮมโปรชิดลม พนักงานขายบอกว่า มีคนนำไปถวายวัดหนึ่ง ท่านให้นำมาคืนเพราะบาป
    3). คนที่คิดว่า จะไม่ตบยุง คงจะเคลื่อนไหวตัวน้อยลง ปล่อยแก๊สฯ ออกมาน้อยลง ยุงมีโอกาสกัดน้อยลง
    4). ส่วนคนที่คิดว่า จะไม่ตบยุง และมีพรหมวิหาร(เมตตาหรือกรุณา)มากพอ ยุงคงจะเห็นใจ ไม่กัดเหมือนกัน...
  • ขออนุโมทนากับคุณแม่อาจารย์ที่จับแมลงสาบไปปล่อยนอกบ้าน เข้าใจว่า คงจะเป็นบ้านของคนใจบุญ สาธุ สาธุ สาธุ
  • สาธุนี่... บาลีท่านให้กล่าวซ้ำ 2-3 ครั้ง ท่านพระอาจารย์ธัมมานันทเถระ อัครมหาบัณฑิต(สมณศักดิ์พม่า) วัดท่ามะโอท่านยกพระพุทธพจน์มาแสดง)
  • แป้งกันมดที่มีจำหน่าย... ผมไปอ่านดูฉลากข้างกระป๋อง เป็นสารพิษต่อระบบประสาทของมด (neurotoxin) อ่านแล้วไม่กล้าใช้
  • แนะนำให้ใช้แป้งทาตัว... แป้งทาตัวมีข้อควรระวัง 2 อย่างครับ
    1___. เทเบาๆ อย่าให้ฝุ่นเข้าจมูก ความจริงฝุ่นอะไรก็ไม่ควรให้เข้าปอด (ถ้าเป็นไปได้)
    2___. ไม่ควรทาบริเวณใกล้อวัยวะเพศหญิง ดูเหมือนจะมีการพบผงฝุ่นแป้งในมะเร็งรังไข่ คิดว่า เป็นเพียงรายงานกรณีพิเศษ อาจจะมีผลจริงหรือไม่ก็ได้ อาจจะพบโดยบังเอิญก็ได้ ทว่า... ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
  • ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุข ความเจริญ นอนพอดี ตื่นพอดี ทุกท่านทุกคนเทอญ...
  • ขอบคุณครับ
  • แก๊สคาร์บอนได้ออกไซด์ก็อมความร้อนไว้เยอะครับ สังเกตได้ว่าลมหายใจเราจะอุ่น กว่าอากาศรอบ
  • เคนอ่านหนังสือ (ตอนเด็กๆ) เรื่องสาเหตุของสภาวะโลกร้อนอันหนึ่ง ที่ฟังดูเหมือนตลกแต่จริงคือ ลม (gas) ของวัวผายออกมาครับ
  • เพราะว่า CO2 มีความจุความร้อนสูง พอลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศก็อมความร้อนเข้าไว้ ในขณะเดียวกันก็ฟอร์มตัวเป็นฉนวน (คล้ายๆ เสื้อ Jacket ลดน้ำหนักที่นักมวยชอบใช้) ไม่ให้ความร้อนที่สะท้อนมาจากผิวโลกลอยออกไปภายนอกครับ
  • เป็นความรู้ใหม่เรื่องเครื่องกำจัดยุง ที่คุณหมอบอกครับ ผมยังไม่เคยเห็นเลย
  • แต่คิดว่าเครื่องนี้ไม่ควรวางในห้องแอร์หรือห้องปิดทึบนะครับ แทนที่จะกำจัดยุง เจ้าของเครื่อง (กำจัดยุง) จะถูกกำจัดไปเอง
  • คุณแม่เป็นคนธรรมะธรรมโมมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดครับ (คุณยายผมไปวัดเป็นประจำ) ได้ยินว่าคุณแม่เคยอยู่ชมรมพุทธตั้งแต่สมัยเป็นนิสิต (คุณพ่อด้วยครับ)
  • ผมเห็นวารสารทางธรรม (พุทธธรรม) ที่บ้านตั้งแต่จำความได้ 
  • สมัยเด็กๆ ผมได้ฟังพระทุกเช้าวันอาทิคย์ สมัยที่ท่านพุทธทาสกับท่านปัญญานันทะยังแข็งแรง ท่านทั้งสองสลับกันบรรยายธรรมทุกเดือนทางวิทยุแห่งประเทศไทย
  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • เรื่องวัวทำให้เรือนกระจกร้อน... เท่าที่ทราบจะมีเหตุผลอย่างนี้...
    1). การเลี้ยงวัวอาศัยทุ่งหญ้า การหาทุ่งหญ้าใหม่ๆ มักจะนิยมทำลายป่า ป่าที่ถูกทำลายใหม่ๆ โดยเฉพาะเผา จะมีหญ้างาม ได้ยินว่า ทำอย่างนี้ในอเมริกาใต้
    2). แก๊สที่วัวผายออกมา หรือมูลโคจะมีการย่อยสลาย ดูจะมีแก๊สมีเธนด้วย
    3). แก๊สเรือนกระจกที่สำคัญดูจะมี ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเธน ไนตรัสออกไซด์ และโอโซน
  • สนใจเรื่อง Greenhouse effect (ตัวอย่างจากสารานุกรมวิกิพีเดีย) >>> [[[[[ คลิกที่นี่____Click ]]]]]]

    The greenhouse gases                                

    Water vapor (H2O) causes about 60% of Earth's naturally-occurring greenhouse effect. Other gases influencing the effect include carbon dioxide (CO2) (about 26%), methane (CH4), nitrous oxide (N2O) and ozone (O3) (about 8%) [7]. Collectively, these gases are known as greenhouse gases.

  • ขอท่านผู้อ่านทุกท่านพึงมีความุสุข ความเจริญ ได้อยู่ในที่ที่มีอุตุสัปปายะ (ร้อนพอดี หนาวพอดี เป็นเหตุให้เกิดความสบาย อันสมควรแก่การบำเพ็ญบุญกุศล)เทอญ...

  • ครับ การเอาสิ่งปฏิกูลมาหมักจะได้แก๊สมีเธนด้วย เช่น ฟาร์มสุกรบางแห่ง ใช้วิธีเอามูลสุกรมาหมัก จะช่วยกำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการในขณะที่ได้ผลพลอยได้คือ แก๊สมีเธน และช่วยกำจัดกลิ่นรบกวน และได้ยินว่าปางช้างก็มีการหมักมูลช้างด้วย และสิ่งที่เหลือซึ่งเป็นเซลลูโลสก็เขาเอามาทำกระดาษต่อ
  • แก๊สมีเธน เบากว่าอากาศ และเป็นแก๊สที่เราเอามาใช้กับรถ NGV ครับ
  • ส่วน LPG ได้แก่ โพรเพน จะหนักว่าอากาศ และได้เคยสร้างชื่อเสียงไว้แถวประตูน้ำเมื่อหลายปีก่อน
  • เคยดูสารคดี กองขยะในต่างประเทศเขาก็สามารถนำมาผลิตมีเธนได้เช่นกัน บางแห่งก็ใช้ผลิตน้ำอุ่นสำหรับบ้านเรือน และมีเธนด้วย สุดท้ายก็ได้ปุ๋ยหมัก ในขณะที่กองขยะบ้านเราปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ปล่อยให้เหม็นอยู่อย่างนั้น
  • มีบริษัทเอกชนในบ้านเราผลิตเครื่องหมักขยะ (ให้เป็นแก๊ส) แบบเคลื่อนที่ขาย แต่ไม่ทราบว่ามีใครซื้อไปบ้าง

 

  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • ดูเหมือนธุรกิจจัดการขยะ-ของเสียจะเป็นธุรกิจที่มาแรง โดยเฉพาะการเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นของดี เช่น การกำจัดมูลสัตว์-ขยะให้กลายเป็นแก๊ส หรืออะไรอย่างอื่นที่นำไปใช้ได้ ฯลฯ
  • ความจริง... เราเริ่มลดขยะกันได้ง่ายๆ ที่บ้าน               
    1). เศษผักทิ้งลงดิน ให้เป็นอาหารสัตว์เล็กสัตว์น้อย ได้บุญด้วย บำรุงดินให้ดีขึ้นด้วย หน้าดิน (humus) จะมีความหนาเพิ่มขึ้น ช่วยดูดซับความชื้น ช่วยให้จุลินทรีย์ดีๆ อาศัยอีกมากมาย
    -->> ขยะลดลง
    2). นำน้ำล้างจาน-ซักผ้าเทลงดิน โดยเฉพาะโคนต้นไม้ (ถ้ามีสีตกจากเสื้อผ้าควรเทลงต้นไม้ที่ไม่นำไปกิน) น้ำสบู่+น้ำยาล้างจานมีสารลดแรงตึงผิว และมีสารกำมะถันเป็นปุ๋ย ส่วนน้ำผงซักฟอกมีกำมะถันบ้าง มีฟอสเฟตบ้าง เป็นปุ๋ยได้
    -->> น้ำเสียลดลง + ทำให้ดินอ่อน น้ำซึมลงดินได้ดีขึ้น รากต้นไม้งอกงามดีขึ้น
  • ขอให้ท่านผุ้อ่านทุกท่านมีความสุข ความเจริญ นอนหลับสนิทได้ดีทุกคืนเลยครับ...
  • เคยดูสารคดีฝรั่งวิจัย นำพลาสติกเก่าๆ และยางรถยนต์เก่า มาทำให้เป็นน้ำมันได้
  • ดูเหมือนคนไทยก็ทำได้เพราะเคยเห็นในข่าวเมื่อสิบกว่าปีก่อน
  • ครับ น้ำจากการซักผ้าและล้างจาน เอามารดต้นไม้และสนามหญ้าดีกว่าครับ
  • ไม่ต้องปล่อยทิ้งเป็นน้ำเสีย ซึ่งจะไปเน่าเสียตามคูคลองซึ่งต้องเสียเงินในการบำบัด
  • ไม่ต้องเสียค่าน้ำประปาในการรดน้ำต้นไม้
  • ถ้าบ้านใครพอจะมีที่มีทาง น้ำจากการอาบน้ำ น้ำจากอ่างล้างจาน น้ำจากเครื่องซักผ้า เอามาผ่านถังดักไขมัน ที่มีขายอยู่ทั่วไป แล้วเอามาลงถังหรือบ่อ แล้วเก็บไว้รถต้นไม้+สนามหญ้า ก็น่าจะดีครับ
  • ประหยัดถึง 2 เด้งเหมือนโฆษณาบัตรเครดิต
  • ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช ท่านผู้ให้ข้อคิดเห็น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
  • คุณพ่อผมท่านกล่าวไว้ว่า "คนพันธุ์ดีน่าจะเป็นคนที่กินน้อย ใช้น้อย (ไม่ผลาญทรัพยากรธรรมชาติ และไม่ผลาญสังคม) ทำงานมาก"
  • ตัวอย่างที่อาจารย์เปมิชยกมานั่นเป็นการ "ใช้ซ้ำ (reuse)" เป็นการแปรของเสียให้กลายเป็นของดี ใครทำได้ก็ขอกล่าวสาธุ 3 ครั้งครับ...
ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท