การสนทนาแบบโบห์ม ๕ : ประยุกต์ใช้การสนทนาแบบโบห์มอย่างไร?


เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งบอกว่าเมื่อนำการฟังอย่างลึกไปใช้ในครอบครัวทำให้เข้าใจสามีมากขึ้น ทั้งยังสามารถ “ก้าวข้าม” ความคุ้นชินเดิมที่ไม่กล้าแสดงออก กลายเป็นคนที่สามารถพูดแสดงความคิดเห็นในวงสนทนาได้อย่างสวยงาม เป็นคำพูด “ตะกุกตะกักที่ไพเราะ” และ “ให้ความหมายที่ลึกซึ้งมาก”

มีผู้ที่เห็นด้วยกับโบห์มและนำแนวทางการสนทนาแบบโบห์มไปประยุกต์และพัฒนาต่อในหลายบริบท บริบทที่การสนทนาแบบโบห์มได้รับการนำไปใช้มากที่สุดเท่าที่ผมสำรวจข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต คือการพัฒนาภาวะผู้นำและองค์กรในภาคธุรกิจ นอกจากนั้นก็มีบ้างในการการศึกษา การพัฒนาครอบครัวและชีวิตส่วนบุคคล 

 

การพัฒนาและประยุกต์การสนทนาแบบโบห์ม ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นข้อมูลจากการค้นคว้าจากเอกสารที่มีผู้กล่าวถึง สรุป เขียนอธิบาย หรือวิจารณ์ไว้เท่าที่หาได้ในอินเทอร์เน็ต ผมยังไม่ได้อ่านงานเขียนที่เป็นต้นฉบับจริงๆ ของผู้พัฒนาและประยุกต์เหล่านั้นโดยละเอียด เนื่องจากยังไม่สามารถหาต้นฉบับได้

 

คนที่ได้รับการอ้างอิงถึงมากและโดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งในการนำการสนทนาแบบโบห์มไปประยุกต์ใช้ คือ William Isaacs  เมื่อครั้งที่เซงเก ก่อตั้ง Society for Organizational Learning ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาจูเสทส์ ในปี 1997 นั้น ไอแซคส์เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้งด้วย ต่อมาในปี 1999 ไอแซคส์ทำวิจัยเชิงปฏิบัติการวิธีการสนทนาแบบโบห์มและได้เขียนหนังสือชื่อ The Art of Thinking Together: A Pioneering Approach to Communicating in Business and Life ที่ต่อมาได้กลายเป็นหนังสืออ้างอิงเล่มสำคัญสำหรับผู้ที่นำการสนทนาแบบโบห์มไปประยุกต์ใช้  ต่อมาไอแซคส์ได้ก่อตั้งและเป็นประธานของ Dailogos Institute ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยทั้งในด้านทฤษฎีและด้านการปฏิบัติการสนทนาแบบโบห์ม การพัฒนาภาวะผู้นำ และการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้  องค์กรใหญ่ๆ หลายแห่งใช้บริการของสถาบันนี้ เช่น NASA, World Bank, British Petroleum, Motorola และ Lockheed

 

ไอแซคส์ได้สร้างแบบจำลองการสนทนา 4 ระยะ (Four-stage Evolutionary-model of a Dialogue) ขึ้นจากแนวคิดของโบห์ม ดังนี้

          ระยะแรก Shared Monologues ผู้ร่วมสนทนาสร้างความคุ้นเคยในการพูดคุยกับคนอื่นๆ ในขั้นนี้ ผู้เข้าสนทนายังไว้ตัว เกรงใจกัน ยังไม่มีใครแสดงอะไรที่นอกเหนือความคาดหวังของกลุ่ม ซึ่งวิศิษฐ์ วังวิญญู เรียกว่า สภาวะแห่งความสุภาพ

          ระยะที่สอง Skillful Discussion ผู้ร่วมสนทนาเรียนรู้ทักษะต่างๆ ของการสนทนา เป็นช่วงที่สมาชิกในวงสนทนากล้าแสดงความคิดเห็นจากมุมมองของตนออกมา ความแตกต่างของความคิดเริ่มเผยตัวออกมา (คำว่า dis หมายถึงการทำให้แตกออก)

          ระยะที่สาม Reflective Dialogue ผู้ร่วมสนทนาเริ่มตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยกัน เป็นภาวะที่ทุกคนอยากรู้อยากเห็น ในขั้นนี้ความคิดความเห็นของทุกคนจะสะท้อนกลับไปกลับมาภายในกลุ่ม

          ระยะที่สี่ Generative Dialogue เกิดภาวะการไหลเลื่อนของความคิดภายในวงสนทนาซึ่งเป็นภาวะพิเศษที่ทุกคนสร้างสรรค์ร่วมกัน (a special “creative” dialogue) ในขั้นนี้แต่ละคนจะรู้สึกว่าความคิดของตนคือความคิดของกลุ่ม และความคิดของกลุ่มเป็นความคิดของตน เกิดความคิดที่เป็นหนึ่งเดียวจากการคิดสร้างสรรค์ร่วมกัน เป็นภาวะแห่งความสุขยิ่งของการสนทนา

 

นอกจากเซงเกและไอแซคส์แล้วยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาและการฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาภาวะผู้นำและองค์กรอีกหลายคนที่ได้นำแนวคิดและวิธีการสนทนาแบบโบห์มไปประยุกต์ใช้ เช่น Margaret Wheatley  วีตเลย์แต่งหนังสือหลายเล่ม เช่น Leadership and the New Science: Discovering Order in a Chaotic World (1999) เล่มนี้มีผู้แปลเป็นภาษาไทย ผมเพิ่งซื้อมา ยังไม่ได้อ่าน, Turning to One Another: Simple Conversations to Restore Hope to the Future (2002) เล่มนี้ก็แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ หันหน้าเข้าหากัน ผมเพิ่งซื้อมาเช่นกันแต่ยังไม่ได้อ่าน และ Finding Our Way: Leadership for an Uncertain Time (2005) วีตเลย์กับไอแซคส์ได้มีโอกาสร่วมงานกันด้วย

 

จากการสืบค้นในอินเทอร์เน็ต พบว่ามีการใช้วิธีการ Dialogue ที่คล้ายกับ Bohm Dialogue แต่ผมยังไม่มีข้อมูลว่าผู้ใช้ Dialogue เหล่านั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อโบห์มหรือได้รับอิทธิพลจากโบห์ม หรือไม่เกี่ยวข้องกันเลย เช่น Victor Frankl (1905-1997) จิตแพทย์ชาวออสเตรียเชื้อสายยิวที่รอดชีวิตจากคุกของนาซีระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และได้อพยพมาอเมริกา  Frankl ใช้วิธีจิตบำบัดที่เขาเรียกว่า Logotherapy วิธีการนี้มาจากประสบการณ์ของเขาระหว่างถูกขังอยู่ในคุก เขาสังเกตพบว่าการเสียชีวิตของเพื่อนนักโทษจำนวนมากเกิดจากความสิ้นหวังในชีวิต งานของ Frankl ที่มีชื่อเสียงมากคือ Man’s Search for Meaning (1984) เล่มมีแปลเป็นไทยแล้ว การรักษาแบบ Logotherapy ใช้วิธีให้ผู้ป่วยสนทนากันเพื่อค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ (คำว่า logo หมายถึงความหมาย)

 

Maurice Friedman ศาสตราจารย์ด้านศาสนา ปรัชญา และภาษา เป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อว่า dialogue คือเคล็ดลับของการเชื่อมโยงคนเข้าหากัน (the secret of the bond between person and person) Friedman ได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากนักจิตวิทยาแนวมนุษยนิยมหลายคนเช่น Carl Jung (1875-1961), Abraham Maslow (1908-1970), Martin Buber (1878-1965) รวมทั้ง Frankl ที่กล่าวถึงไปแล้ว งานเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ของ Friedman คือ Religion and Psychology: A Dialogical Approach (1992)

 

Parker Palmer เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใช้การสนทนาที่คล้ายกับโบห์มมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาชีวิตด้านใน(จิตวิญญาณ)ของบุคคล (personal spiritual development)  พาล์มเมอร์เรียกวิธีการของเขาว่า วงจรแห่งความไว้วางใจ (circles of trust) พาล์มเมอร์เขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น A Hidden Wholeness: The Journey Toward an Undivided Life (2004), Let Your Life Speak: Listening for the Voice of Vocation (2000), The Active Life: A Spirituality of Work, Creativity and Caring (1990), The Courage to Teach: Exploring the Inner Landscape of a Teacher's Life (1998), To Know As We Are Known: Education as a Spiritual Journey (1983, 1993)

 

ส่วนในประเทศไทยมีการนำแนวคิดและวิธีการของการสนทนาแบบโบห์มมาประยุกต์ใช้ในองค์กรมาหลายปีแล้ว นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ศัลยแพทย์แห่งโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์  เขียนเล่าในนิตยสารหมอชาวบ้านฉบับเดือนพฤษภาคม 2548 ว่า วิศิษฐ์ วังวิญญู เป็นผู้นำการสนทนาแบบโบห์มมาใช้เป็นคนแรกในประเทศไทยในช่วงปี 2543 โดยก่อนหน้านั้น นพ.ประสาน ต่างใจ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน

 

นพ.วิธาน เขียนเล่าว่า บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มียอดขายปีละประมาณหนึ่งหมื่นล้านบาทได้สนใจและใช้ สุนทรียสนทนา ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ระดับสูงโดยมีวิศิษฐ์ วังวิญญูเป็นผู้ดำเนินกระบวนการ พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจและเอื้อประโยชน์ต่อการทำงานในองค์กรจริง  ชมรมทันตบุคลากรเชียงรายก็ได้ใช้การสนทนาแบบโบห์มในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ พบว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้เข้าร่วม เช่น ทันตแพทย์ชายคนหนึ่งพบว่าตัวเองมีอารมณ์ด้านลบเกิดขึ้นถึงสามสิบกว่าครั้งในหนึ่งวัน แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้วิธีการจัดการอารมณ์ที่เหมาะสมจนจับได้ว่าอารมณ์ลบต่างๆ น้อยลงไปมาก มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการทำงานที่ทำให้ผู้ร่วมงานมีความสุขมากขึ้น ซึ่งส่งผลกลับมาทำให้เขารู้สึกรักองค์กรมากขึ้นและอยากทำงานให้องค์กรมากขึ้น  ทันฑแพทย์หญิงคนหนึ่งบอกว่ามีความ เข้าใจฝ่ายตรงข้าม มากขึ้นจากการที่ตนเองทำ บายพาสอารมณ์ ได้ ทันฑแพทย์ชายอีกคนหนึ่งเริ่มเปลี่ยนจากคนที่ค่อนข้างปลีกตัวมาสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานมากขึ้น เช่น เริ่มมากินอาหารด้วยกัน ขี่จักรยานและร่วมกิจกรรมอื่นๆ ทันฑแพทย์อีกท่านหนึ่งบอกว่าสามารถ ทะลุ ความคิดเรื่องงานสำคัญที่กำลังติดขัดอยู่ได้อย่างประหลาด ทันฑแพทย์อีกคนหนึ่งบอกว่าได้เข้าใจเรื่องการลดการใช้อำนาจ รู้สึกเห็นด้วยว่าเมื่อลดการใช้อำนาจลงกลับสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นและงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริง เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งบอกว่าเมื่อนำการฟังอย่างลึกไปใช้ในครอบครัวทำให้เข้าใจสามีมากขึ้น ทั้งยังสามารถ ก้าวข้าม ความคุ้นชินเดิมที่ไม่กล้าแสดงออก กลายเป็นคนที่สามารถพูดแสดงความคิดเห็นในวงสนทนาได้อย่างสวยงาม เป็นคำพูด ตะกุกตะกักที่ไพเราะ และ ให้ความหมายที่ลึกซึ้งมาก ทำงานเปลี่ยนแปลงไป

 

ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จัดให้มี Dialogue ในทุกหน่วยงานในสังกัดเดือนละ 2 ครั้ง และมีการทำ Dialogue ผสมผสานในงานประจำวัน  พยาบาลที่เข้าร่วมการสนทนาแบบโบห์มคนหนึ่งบอกว่า รู้สึกแปลกใจที่มีคนฟังเราด้วย จากที่แต่ก่อนไม่มีโอกาสพูด ผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งบอกว่า การทำ Dialogue ทำให้ได้รู้ว่าคนอื่นก็มีวิธีการทำงานที่ดี แม้กระทั่งคนงานก็เสนอความคิดเห็นที่ดีๆ อีกคนหนึ่งบอกว่า ทำ Dialogue ช่วงแรกเครียดมาก ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ต้องมีการกระตุ้นบรรยากาศการคุยหลายครั้ง แต่สุดท้ายเราก็ได้ฟังสิ่งที่อยู่ในใจลูกจ้างประจำ ได้รับความคิดเห็น มุมมองที่น่าสนใจของบุคคลแต่ละระดับ อีกคนหนึ่งบอกว่า การทำ Dialogue ดีเพราะได้พูดในสิ่งที่ตนเองอยากจะพูดโดยไม่มีผู้ใดขัดแย้ง

 

ในการทำการสนทนาแบบโบห์มกับผู้ป่วยและญาติ พยาบาลคนหนึ่งเล่าว่า เขานอนไม่ค่อยหลับเพราะไม่เคยชินกับการเข้านอนโดยไม่ล็อกประตู เขาขออนุญาตปิดล็อกก่อนเข้านอน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผู้ป่วยรายนี้คงได้รับการชี้แจงด้วยสารพัดเหตุผลว่าไม่ได้ แต่คราวนี้ดิฉันกลับแปลกใจในคำตอบที่ได้ยิน เขาได้รับอนุญาตให้ปิดล็อกลูกบิดประตูได้ แต่จะต้องไม่ใส่กลอนประตู และมีข้อตกลงว่า ถ้าเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องเข้าตรวจเยี่ยม จะไขกุญแจเข้าไปเยี่ยม โดยถ้าเป็นช่วงดึกจะเสียงดังเล็กน้อย เขายอมรับได้หรือไม่ เขายอมรับได้...” (ดูรายละเอียดได้ใน http://gotoknow.org/file/kmi_public/dialoguechula_KM4.pdf)

 

หนังสือคู่มือกระบวนกร: ศาสตร์และศิลป์แห่งการหันหน้าเข้าหากัน เขียนโดย วิศิษฐ์ วังวิญญู, วิธาน ฐานะวุฑฒ์ และณัฐฬส วังวิญญู ทำให้ผมได้เข้าใจว่า สถาบันขวัญเมือง เชียงราย ได้ดำเนินกิจกรรมการปฏิบัติและการฝึกอบรมผู้ดำเนินกระบวนการสนทนาแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง เรียกผู้ดำเนินกระบวนการนี้ว่า กระบวนกร และได้มีการจัดงานมหกรรมกระบวนกรมาแล้ว  5 ครั้ง

 

การนำการสนทนาแบบโบห์มมาประยุกต์ใช้ในต่างประเทศปรากฏให้เห็นมากกว่าประเทศไทย  ข้อมูลจาก Selected Website on Dialogue ทำให้เราได้ทราบว่าที่สหรัฐอเมริกา มีการรวมกันเป็นเครือข่ายเรียกว่า National Coalition for Dialogue & Deliberation (NCDD) ปัจจุบันมีสมาชิกบุคคล 790 คนและกลุ่ม 34 กลุ่ม นอกจากนั้นยังมีหนังสือ บทความ รายงาน บทสัมภาษณ์ และข้อเขียนต่างๆ เกี่ยวกับการสนทนาแบบโบห์ม และ Dialogue แบบอื่นๆ เป็นจำนวนมากทั้งในรูปแบบการพิมพ์และในเว็บไซต์ต่างๆ   ส่วนในประเทศไทยยังไม่พบว่ามีการรวมตัวกันของผู้ใช้การสนทนาแบบโบห์มอย่างเป็นทางการ  และยังมีหนังสือ บทความ และรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะปรากฏในรูปของบันทึกหรือรายงานสั้นในกระดานเสวนา (webboard) ของหน่วยงานที่ประยุกต์ใช้การสนทนาแบบโบห์ม และในเว็บบล็อก gotoknow.org

 

การสนทนาแบบโบห์ม ๑ : เกริ่นนำ

การสนทนาแบบโบห์ม ๒ : โบห์มคือใคร?

การสนทนาแบบโบห์ม ๓ : หนังสือ On Dialogue สำคัญอย่างไร?

การสนทนาแบบโบห์ม ๔ : แนวคิดและวิธีการสนทนาแบบโบห์มมีอะไรบ้าง?

การสนทนาแบบโบห์ม ๕ : ประยุกต์ใช้การสนทนาแบบโบห์มอย่างไร?

การสนทนาแบบโบห์ม ๖ : สรุป

หมายเลขบันทึก: 171784เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2008 00:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2012 09:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

P

นาย สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์

 

  • เข้ามาเยี่ยม...

อ่านผ่านๆ... น่าสนใจ เพราะไม่ค่อยรู้เรื่อง ค่อยกลับมาอ่านอีกครั้ง...

สิ่งที่อ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องมักน่าสนใจกว่า สิ่งที่พออ่านก็รู้ว่าเรื่องอะไร หรือเรื่องที่อ่านๆ ไปก็ไม่รู้เรื่องอะไร...

  • ใช่ไหม? ท่านอาจารย์ !

เจริญพร

  • สนทนาและฟังกับตนเองเป็นเบื้องต้น
  • สนทนาและฟังผู้อื่นอย่างสนใจและให้ความสำคัญต่อคู่สนทนา
  • สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง การฟังด้วยดีย่อม ได้ปัญญา

นมัสการพระคุณเจ้า BM.chaiwut

พระคุณเจ้าถามว่า สิ่งที่อ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องมักน่าสนใจกว่า สิ่งที่พออ่านก็รู้ว่าเรื่องอะไร หรือเรื่องที่อ่านๆ ไปก็ไม่รู้เรื่องอะไร...ใช่ไหม?

ผมพยายามทำความคำถามอยู่ครับ พระคุณเจ้าเพียงปรารภขึ้นมา หรือตั้งเป็นประเด็นสนทนาจริงๆ ครับ?

P

นาย สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์

 

  • เรื่องที่รู้เรื่องแล้ว เราก็ไม่สนใจที่จะอ่าน

ดังอาตมาชอบอ่านนิยายของ... แต่เมื่อถึงอธิบายเรื่องธรรมะ เรื่องวิปัสสนา ก็รู้สึกเบื่อทุกครั้ง จึงนำความรู้สึกนี้ไปเล่าให้กัลยาณมิตรที่เป็นหนอนหนังสือคนหนึ่ง ท่านก็ให้ความเห็นว่า อย่างนั้นแหละ เรื่องไหนที่เรารู้สึกว่า เรารุ้มากกว่าผู้เขียน เราก็เบื่อ...

อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์สอนปรัชญา.... ท่านเป็นมหาเปรียญเก่า ท่านเคยบ่นว่า อยากจะเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เรื่องใหม่ๆ น่าสนใจ... ส่วนเรื่องแนวพุทธปรัชญา ท่านเบื่อที่จะเป็นแล้ว เพราะต้องไปทนอ่าน หรือทนนั่งฟังในเรื่องที่ท่านอยู่กับมันมาเกือบตลอดชีวิต... ประมาณนี้

...........

  • เรื่องที่ไม่รู้เรื่องเลย เราก็ไม่อยากจะอ่าน

เช่นบันทึกในโกทูโน บางประเด็นเป็นวิชาการทางการแพทย์ มีศัพท์แสงด้านการแพทย์เกือบทั้งนั้น อาตมาไม่มีพื้นฐานเลย พอเปิดไปเจอก็มักจะผ่านเลย เพราะไม่มีพื้นฐาน อ่านไปก็ไม่รู้เรื่อง... ประมาณนี้

..........

  • เรื่องที่รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็น่าสนใจที่จะอ่าน

ดังเช่นบันทึกนี้ อ่านไปก็พอจับประเด็นได้ เช่น การจำลองการสนทนา ๔ ระยะ อ่านๆ ไปก็พอรู้ว่าไม่มีอะไรมาก กล่าวคือ

  • เข้าที่ ทุกคนมารวมกัน
  • ความเห็นต่าง ผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง
  • รวมความเห็น ประมวลความเห็นทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง
  • เจาะปัญหา นำความเห็นที่ประมวลไว้แล้ว เข้าไปตรวจสอบปัญหาที่ตั้งไว้...

 

 

อาตมาสำคัญว่า... ระดับอาจารย์เข้าใจความเห็นในครั้งก่อนของอาตมาแน่นอน แต่คงจะให้มาเยือนอีกครั้ง... อาตมาก็เลยมาโม้เล่นๆ

เจริญพร

ขอบพระคุณพระคุณเจ้า BM.chaiwut มากครับ

เข้าใจความหมายของท่านแล้วครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท