ติดตามอ่านบันทึกพี่กะปุ๋มแบบใส่เสื้อคลุมล่องหนมาจนทุกวันนี้ค่ะ ยังติดใจและติดตามต่อๆ มาค่ะ วันนี้ ขอทิ้งรอยค่ะ R2R ในที่ทำงานพูดกันอยู่เสมอๆ มีแผนมีกรรมการดูแลงาน ผลักดันนี้(คนละทีมกับกรรมการ KM) มีรายการอัดฉีดเป็นตัวเลขด้วย แต่ทางปฏิบัติ ก็ไม่ค่อยจะมีกิจกรรม 5ช จริงจัง อย่างที่อ่านเจอในบันทึกพี่กะปุ๋มเลยค่ะ(R2R "5 ช" = ชี้ เชียร์ ช่วย เชื่อม ใช้) โดยธรรมชาติคนทำงานประจำๆ พอคิดเรื่อง R ตัวที่สอง หลายคนก็หลบสายตาแล้วค่ะ (ดาวลูกไก่ด้วย^^) แต่ก็พยายามทำความเข้าใจว่ามันสำคัญมาก ไม่งั้นจะทำแผนงานอะไรๆ ก็จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
สงสัยต้องให้โดนบังคับจริงๆ ค่ะ (แต่ตัวเลขก็ยังขอให้เป็นผลพลอยได้นะคะ^^)
ความเห็นของคุณหมอเอกรัฐเขียนไว้ที่นี่ค่ะ
R2R พัฒนาคุณภาพ กับ ๓ ใจ
http://gotoknow.org/blog/r2rsichon2/280041
สวัสดีค่ะดร.กะปุ๋ม...
งาน R2R.....พอพูดถึงวิจัยหลายคนจะกลัวค่ะ...
มีขั้นตอนเยอะ ทำงานประจำก็หนักมากๆค่ะ หนักจนหมดแรง ที่จะสร้างสรรค์งานดีๆต่อ ทุกวันนี้งานยิ่งหนักมาก...เราต้องมีการประเมินตนเอง...
แดงว่าเป็นการทำแบบสมัครใจ...มีระบบพี่เลี้ยงดูแล...
หน่วยงานอาจจะต้องมีเวลาให้....
ขอบคุณที่ให้เกียรตินะคะ...
การพัฒนางานประจำที่นำกระบวนการ R2R มาเป็นตัวขับเคลื่อนนั้น
ระหว่างกำหนดให้เป็นภาคบังคับและมีการแข่งขัน
...กับสมัครใจ อันไหนน่าจะ work กว่ากัน...
ในทัศนะของคนหน้างาน ส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งคือวัฒนธรรมองค์กรที่สั่งสมกันมาอย่างยาวนาน แม้ทุกองค์กรจะมีคนที่พร้อมคิดพร้อมพัฒนาแฝงตัวอยู่ทุกที่ แต่จะเห็นได้ว่า บางเเห่งก็ดูล้าหลังเชื่องช้ากว่าที่อื่นๆ เพราะความสมัครใจของคนกลุ่มนี้มีมาตั้งแต่ต้นในการรอโอกาสพัฒนาอยู่เสมอ แต่พลังในการเปลี่ยนองค์กรให้มีชีวิตชีวา มีวิถีการขับเคลื่อนที่เร็ว แรง และทรงพลัง ยังต้องอาศัยกลุ่มอำนาจในองค์กรอยู่ เพียงแต่เมื่อมีการกำหนดให้เป็นนโยบายคนกลุ่มนี้จะทำงานง่ายขึ้น คนกลุ่มที่ไม่เคยคิดทำเลยซึ่งอาจมีความสามารถ มีพลังผลักดันการพัฒนาสูงกว่าคนที่ทำโดยสมัครใจก็จะได้สนใจหยิบมาทำ โดยสรุป กำหนดให้เป็นภาคบังคับและมีการแข่งขัน นั่นล่ะค่ะดีแล้ว เพราะพวกสมัครใจ ยังไง ยังไงก็ทำอยู่แล้ว เอื้ออำนวยให้พวกเขาทำงานง่ายขึ้นโดยทำเสมือนเขาถูกบังคับให้ทำ แต่พวกเขาน่าจะรู้ตัวดีว่าพวกเขารอโอกาสนี้มานานแล้ว ในการที่จะมีส่วนขับเคลื่อนสู่วงล้อการพัฒนา อย่างมีชีวิตชีวา และไม่โดดเดี่ยว เพียงแต่ต้องส่งเสริมองค์ความรู้ ช่วยเสริม เติมให้ เอาใจใส่ และติดตามความก้าวหน้าอย่าให้ห่างจนเกินไป
น่าจะดี นี่เป็นทัศนะของคนตัวเล็กนะคะไม่รู้คนตัวโต โต ท่านจะว่ากระไรกัน
สวัสดีค่ะ
การทำวิจัย ไม่ยากหากทำเป็น
แต่โอกาส ที่นักวิจัยหน้าใหม่
จะเกิดยาก เนื่องจากขาดทักษะ
ขาดความรู้ ขาดทุน5555
แต่อย่าวไรก็ตาม งานวิจัยที่ดี
ต้องช่วยแก้ปัญหาเรื่องงานได้
ไม่ใช่ ทำแล้วเกิดภาระ
แต่ทำแล้วได้ผลดี ต่อคนไข้
แล้วงานจะเข้า
ตย.
ผมวิจัยรูปแบบการเลิกบุหรี่ในชุมชน
เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง ทำให้ผมแก้ปัญหา
ไม่มีเวลาให้คนอยากเลิกบุหรี่ได้
ต่อมาผมทดลองวิจัยแก้ปัญหาคนไข้เบหวาน
ด้วยกิจกรรมธรรมชาติบำบัด
ทำให้คนไข้เบาหวานดีขึ้น
การบังคับ เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้
และอาจเกิดผักชีได้มากมาย
ที่เสนอคือใช้รูปแบบ
การกระตุ้น ทำให้เกิด ความสมัครใจมากๆ
แล้วส่งเสริมการแข่งขันโดยใช้แนวคิด
social facilitation ไม่ใช่แนวคิดประกวดผักชี
งานวิจัยR2R จะมีคุณค่า
หากส่งเสริม ให้คนทำวิจัยให้เป็น
ผมว่าจะสมัครไปประชุมR2Rรอบ2
ก็สมัครไม่ทันเพราะรู้ช้าไปครับ
หากผมมองในฐานะcounseler ก็จะใช้
กิจกรรม ให้ จนท.อยากทำวิจัยมากๆ
เหมือนชวนคนไข้ให้เลิกบุหรี่
สร้างระบบพี่เลี้ยง
โดยมีหน่วยงานให้ทุนด้วย
สร้างเป็นชุมชนคน R2R ให้ได้
อย่าบังคับเลย ผักชีเกินไป ไม่ดีครับ
ขอสรุป กระตุ้นให้สมัครใจ ส่งเสริมการแข่งขัน แบบหลายระยะ
สนับสนุน ความรู้ พี่เลี้ยง ทุน
ให้รางวัลอย่างยุติธรรมครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ ดร.'ปุ๋ม ^^
การวิจัยในหน่วยงานเป็นสิ่งจำเป็นนะคะ...อ้อนแอ้นมองว่า ถ้าสมัครใจ แล้วสนุกกับมัน
ทำให้เรามีพลังในการสร้างสรรค์แนวคิด และมีพลังการอยากเรียนรู้ อยากพัฒนา..
การบังคับทำให้บรรยากาศเป็นแบบแกนๆน่ะค่ะ..(มันถูกทอนพลังไปแล้วน่ะ)
แม้ว่า..จะมีรางวัลมาเป็นสิ่งจูงใจนะ..ทำให้เครียดมากขึ้นไปอีกเพราะอยากได้ๆๆๆๆๆ
เอาเป็นว่า..อ้อนแอ้นโหวต..สมัครใจค่ะ^_^
น้องกระปุ๋มคะ
โอ้ ขออภัยพี่พิมพ์ผิด ตรงคำว่าเปรี้ยวค่ะ
ขอบคุณทุกท่านนะคะ...ที่ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันในทัศนะที่ไม่มีถูกและผิด แต่เราช่วยกันคิดและช่วยกันมองค่ะ...
ในส่วนทัศนะของกะปุ๋มเอง ได้เขียนไว้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/kapoomr2r/279876
ท่านไหนที่เวียนมา..ฝากร่องรอยของการความคิดเห็นไว้ได้นะคะ...
ขอบคุณค่ะ
พี่แก้วมักจะพาน้องคิด ค้น หาสิ่งที่จะทำกัน โดยไม่ต้องบอกว่า เรามาทำวิจัยกัน
เมื่อหาประเด็นที่พวกเราคิดร่วมกันว่าเป็นปัญหาในการทำงาน เราก็มาช่วยกันคิดว่าน่าจะทำอะไรกัน เพื่อแก้ปัญหา
ผู้รับผิดชอบงานนั้น ก็ไปเขียนโครงการมา แล้วลองทำดูก่อน
ระหว่างทำ ก็ค้นหาว่าที่อื่นทำกันยังไง
พี่แก้วก็ช่วยหา โดย Advanced serching แลว้สอนน้องหางานที่เกี่ยวกับเรา
มาช่วยกันอ่านว่า ที่เขาทำดีดี เขาทำยังไง
แล้วเราก็นำมาสร้างวิธีปฏิบัติกัน แล้งลองทำดูอีก
และถ้าจะนำมาดำเนินการ ก็มาชี้แจงกับเพื่อนๆว่า จะทำอะไร เพื่อนจะช่วยอะไร และจะเก็บข้อมูลกันอย่างไร
เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ก็ลองมาวิเคราะห์ดู ถ้าทำยังไม่เป็น พี่แก้วก็สอน
ถ้ายังเขียนไม่เป็นก็ส่งไปอบรมบ้าง เช่น อบรมการทำวิจัย อบรมการเขียนรายงาน
ทำเสร็จ ลองเขียนรายงานวิจัย มาให้ดู พี่แก้วก็ช่วยปรับให้ดี จะได้ส่งตีพิมพ์ได้
ระหว่างนี้ ถ้ามีที่ไหนให้ปนำเสนอ ก็ให้น้องไปลองนำเสนอผลงาน ถ้ายังเตรียมการนำเสนอไม่ดีเท่าที่ควร พี่แก้วก็ลองให้เตรียมมาก่อน พี่ก็ดูให้ แล้วให้น้องลอมานำเสนอให้เพื่อนดูก่อน ก่อนจะออกเวทีจริง
สรุป น้องพี่จะไม่ค่อยรู้ตัวว่าจะต้องทำวิจัย ทำให้ไม่เครียดค่ะ
ตามความคิดเห็นของพยาบาลคนหนึ่ง ในการทำR2R
ขอบคุณค่ะสำหรับความเห็น...
มีอีกมากมายในหลายเส้นทาง หากเราเรียนรู้กระบวนการสร้างความรู้ให้เกิดขึ้น เราจะสนุกกับการทำ R2R แต่ถ้าเมื่อไรที่เราใช้กฏของการตั้งต้นทำวิจัย เมื่อนั้นเราจะเบื่อหน่ายต่อการทำ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
(^___^)