เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า
เป็นไฟ
วะวาบ จัตุราบาย
แผ่นขว้ำ
(แผ่นขว้ำ)ชักไตรตรึงษ์
เป็นเผ้า
(เป็นเผ้า) แลบ่ ล้ำ สีลอง
ฯ
ถ้ามองตามผังโคลงห้าของจิตร ภูมิศักดิ์ จะเห็นได้ว่า คำว่า
ไตร นั้น
ถูกใช้เพื่อให้รับสัมผัสสระกับคำว่า ไฟ นั่นเอง
ถ้าพราหมณ์ผู้แต่งโองการแช่งน้ำทราบว่าไฟประลัยกัลป์นั้นสามารถทำลายภพภูมิสูงสุดถึง
14 ภพภูมิ (ภพภูมิที่ 14 คือสวรรค์ชั้น มหาพรหมา
ซึ่งสูงกว่า ภพภูมิที่เจ็ด ซึ่งนั่นก็คือสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์
ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่สอง) ก็สรุปได้ ตามสมมติฐานที่ 2-3 เพราะ
หากพรามหณ์ แต่งโคลงห้าว่า "(แผ่นขว้ำ)ชักมหาพรหมา เป็นเผ้า"
ก็จะไม่มีคำใด รับสัมผัสกับคำว่า ไฟ แต่ทว่า สมมติฐานที่
1 ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เพราะ
พราหมณ์ผู้แต่งโองการแช่งน้ำ ทำให้เราเห็นแล้วว่า ท่านอ้างว่า
สายฟ้าเป็นอาวุธของพระอิศวร ทั้งที่ในความเป็นจริง
สายฟ้าเป็นอาวุธของพระอินทร์ จึงทำให้เชื่อได้ว่า
ท่านก็มั่วนิ่มเรื่อง ไฟประลัยกัลป์ ได้เช่นกัน
สำหรับ สมมติฐาน ว่าด้วยเรื่อง โองการแช่งน้ำ
นั้นแฝงนัยยะทางการเมืองหรือไม่นั้น ตอบว่า
แฝงนัยยะทางการเมืองอย่างแน่นอน เพราะวัตถุประสงค์ในการแต่ง
โองการแช่งน้ำก็เพื่อใช้ อ่านเพื่อสาปแช่ง
ข้าราชการผู้คิดคดทรยศต่อเจ้า
และสรรเสริญอำนวยพรแด่ข้าราชการผู้มีความจงรักษ์ภักดี
ในพิธีถือน้ำพระพิพัฒนสัตยา
แต่พรามหณ์ผู้แต่งโองการแช่งน้ำ จะแฝงนัยยะทางการเมืองว่า
ด้วยเรื่องอื่นด้วยหรือไม่
ยังเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป ใน โคลงกำสรวลสมุทร/กำสรวลศรีปราชญ์/นิราศนครศรีธรรมราช
ซึ่งเป็น โคลงนิราศสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นโคลงที่โด่งดัง
และได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง นับแต่โบราณกาลมา
ถือได้ว่าเป็นโคลงต้นแบบของนิราศคำโคลงเรื่องอื่นๆ
แต่เดิมเชื่อกันว่าผู้แต่งคือ ศรีปราชญ์ (มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
) แต่งคร่ำครวญถึงคนรัก เมื่อคราวถูกเนรเทศไปนครศรีธรรมราช
แต่ทว่านักวิชาการในปัจจุบันเชื่อว่า ศรีปราชญ์ไม่มีตัวตนจริงและไม่ได้แต่ง(โคลง)
กำสรวลศรีปราชญ์ เพราะได้วิเคราะห์เส้นทางการเดินเท้าและเส้นทางการเดินเรือที่เอ่ยไว้ในโคลงกำสรวลสมุทร
พบว่าเป็น เส้นทางสายเก่าต้องเดินทางอ้อมและต้องเสียเวลามาก
ถ้าโคลงกำสรวลสมุทรแต่งในสมัยพระนารายณ์มหาราชจริง
ก็ไม่ควรที่จะใช้เส้นทางสายเก่าให้เสียเวลาในการเดินทาง
อีกทั้งคำศัพท์ที่ใช้ในโคลงกำสรวลเป็นภาษาที่เก่ากว่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นักวิชาการในปัจจุบันจึงสันนิษฐานว่า
ผู้แต่งกำสรวลสมุทรน่าเป็น พระเยาวราช (ในสมัยอยุธยาตอนต้น) ผู้นิพนธ์โคลง ทวาทศมาส
สำหรับโคลงกำสรวลที่เอ่ยนามพระอินทร์ ไว้นั้น มีใจความว่า
สวัสดีครับ
(เอาดาบตัดร่างกายให้เป็นสองซีก)แล้ว เอียงส่วน อก เพื่อเท เอาหัวใจออกมาให้ อรอนงค์ ได้ดู
สวัสดีค่ะคุณกวินทรากร
แวะมาทักทาย เพราะเริ่มชอบอ่านกลอน
พึ่งรู้นะครับ ว่าอยู่ชั้น7 จะได้ขึ้นไปหาถูก
มาเยี่ยม...
ส่วมทำงานอยู่ยอดเขา...(พระสุเมรุ )...คงได้เฝ้าพระศิวะแน่แท้..
สวัสดีค่ะ
-เข้ามาแซวจ้า
- ทำงานอยู่ใกล้นางฟ้านี่เอง
สวัสดีค่ะ สวรรค์ชั้นเจ็ด วิวดีมั้ยคะ
คุณกวินทรากรช่างเป็นผู้มีความรู้วรรณคดีและคำประพันธ์ต่างอย่างลุ่มลึกนะคะ พี่มีความสามารถแบบแค่กลอนประตูยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะ
ตามมาดูสวรรค์ชั้นเจ็ดของคุณกวิน ไม่เห็นมีนางฟ้าซักกะคน แล้วยังพาลงไปท่องนรกภูมิอีก ....เฮ้อ....
อ่านแล้วปลงนะ กลัวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ค่ะ เพราะทำความชั่วไว้เยอะเลยอ่ะ..ทำไงดี
ว่าง ๆ จะแวะมาใหม่ เขียนเรื่องที่อ่านง่าย ๆ เหมาะกับพวกไม่ค่อยมีความรู้ด้านภาษาไทยหน่อยไม่ได้หรือคะ
สวัสดีครับ คุณจิ๊ก มาเยี่ยมสวรรค์ชั้นเจ็ดของผมแล้ว ก็ในเมื่อไม่มีนางฟ้าอยู่เลยงั้นเดี๋ยวผม สาป เอ้ย เสกให้คุณเป็นนางฟ้าประจำสวรรค์ชั้นเจ็ด นะครับ โอมเพี้ยง..
คุณจิ๊ก ผมเคยยืมหนังสือ กรรมทีปนี ที่ห้องสมุดโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ มานั่งอ่านในหนังสือเล่าว่า มนุษย์ผู้หนึ่ง ทำบุญด้วยการนำผ้าไปห่มรอบองค์พระเจดีย์ พอดีช่วงนั้นมีลมพัดมา ผ้าเมื่อถูกแรงลมก็ ปลิวสะบัดกระทบองค์พระเจดีย์เสียงดัง พรึบๆๆ เมื่อมนุษย์ผู้ตายไปตกนรก ยมบาลกำลังรากตาข่าย ตรงเข้าหมายจะลงทัณฑ์ทรมาน เสียงตาข่ายกระทบพื้นดินดัง พรึบๆ เขาระลึกได้ว่า เสียงนั้นช่างเหมือนกับเสียงของผ้าที่ถูกลมโบกสะบัด กระทบองค์พระเจดีย์ เมื่อระลึกได้ดังนั้น อปราปริยเวทนียกรรม ฝ่ายกุศล ก็ดลบันดาลให้เขา ชะแว้บ หายไปจากนรก และจุติเป็นเทวดาบนสวรรค์ สดใสปิ๊งๆ อืมถ้าคุณจิ๊กอ่านบทความที่ผมเขียนแล้วถึงกับปลงได้ถือว่า ผมประสบความสำเร็จในการเขียนระดับหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้ก็ไปตักบาตร ตอนเช้าทำจิตใจให้เบิกบาน แล้วจำเสียงฝาบาตร กระทบกับบาตร ที่ดังแกร๊ก เวลาฉุกเฉิน เสียงแกร๊กๆ นี้อาจช่วยเหลือให้คุณขึ้นสวรรค์ได้ก็ได้น้า..ฮาๆเอิ๊กๆ การเขียนอะไรที่อ่านง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ผมว่ามันก็ไม่ยากสำหรับคนที่สนใจด้านภาษาและวรรณคดีนะครับ แต่สำหรับอาชีพหมอ ก็คงอ่านเข้าใจได้ยาก หน่อยล่ะนะครับ ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ
พี่ขออยู่สวรรค์ชั้น 4 ค่ะ ถ้ามีบุญมากพอนะคะ ...มีเหตุผลค่ะ อิๆๆๆๆ..
อ่านคัมภีร์เทวปกีรณัมเพียงไม่กี่เล่มแล้วเอามาวิเคราะห์ฟันธงมันไม่ได้หรอก ประติมานวิทยาเรารู้ลึกซึ้งแค่ไหน คนที่ศึกษามากกว่าเชี่ยวชาญด้านนี้ยังไม่กล้าชี้ชัดในบางเรื่องเลย อย่าไปอ่านหนังสือเล่มไหนเล่มหนึ่งแล้วจำเอามาเขียนโดยมีอคติเชื่อตามมาตั้งแต่ต้น คนที่รู้เรื่องมีความรู้ด้านนี้อ่านแล้วก็จำแนกได้ว่าข้อมูลใดจริงไม่จริง วิเคราะห์มาผิดหรือถูก แต่คนที่ไม่รู้เรื่องอ่านและไม่มีความรู้เชิงลึก แค่พอรู้ ก็จะเชื่อตามที่กวินเขียน มันอันตราย เรื่องพวกนี้ถ้าเรากล้าฟันธงต้องยอมรับสิ่งที่จะตามมานะ ที่เตือนคือเจตนาดี จะบอกว่าที่วิเคราะห์มันมั่วบางส่วนก็เกรงใจ
กวินจับเอาประเด็นเพียงไม่กี่ประโยคมาตีความ เช่น ชักไตรตรึงษ์ เป็นเผ้า: ไฟทำลายสวรรค์ชั้น ไตรตรึงษ์/ดาวดึงส์ เป็นผงเผ้า ก็ตีความไปว่าลิลิตโองการแช่งน้ำเขียนโดยไม่เข้าใจสันฐานโลกในไตรภูมิ แล้วเคยคิดบ้างมั้ยว่า การเอ่ยถึงในที่นี้เป็นเพียงการเปรียบเปรยว่า แม้แต่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่เป็นที่สถิตย์ของเทวราชาก็ไม่พ้นการล่มสลาย ซึ่งอาจเป็นนัยทางการเมืองบางประการ คือต้องเข้าใจก่อนว่าโองการแช่งน้ำใช้ในการใด นัยยะแฝงอันนี้อาจสื่อได้ว่า แม้เป็นกษัตรยิ์ซึ่งเป็นสมมุติเทวราชก็หนีไม่พ้น ดังนั้น โองการแช่งน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องแสดงโลกสันฐานทั้งหมดของไตรภูมิ เพราะมันนอกเหนือบริบทในพิธีการนั้น
ขอแลกเปลี่ยนแค่ข้อเดียว ส่วนอันอื่นให้ไปอ่านหนังสือเยอะๆ หลายๆ เล่ม แล้วค่อยมาวิเคราะห์ให้รอบด้านกว่านี้
เอาลำดับของวรรณะทางฮินดูมาให้ ลองดูว่าพราหมณ์กับกษัตริย์ อันไหนมาก่อน
ขอบคุณพี่ Little Jazz แต่ผมก็ยังมี คติ ที่ว่า กษัตริย์ คือ นารายณ์ อวตาร (สมมติเทพ)
พราหมณ์ ไม่ได้นับถือ พระนารายณ์ หรอกหรือครับ? (ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช คือระบอบที่เชื่อว่า กษัตริย์ คือ พระนารายณ์ผู้ทรงอวตาร) การพูดแช่ง แฝงนัยยะทางการเมืองว่า แม้แต่เทวดา ก็ยังสวรรค์ล่ม ก็เหมือนกับการไม่นับถือในสิ่งที่ตนเองเชื่อน่ะสิครับ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะพราหมณ์ ก็คือคน ฉะนั้นเมื่อยังเป็นคน มิได้เป็น พราหมณ์อย่างแท้จริง ก็ย่อมยังมี มิจฉาทิฐิ และ อคติ ได้ ก็ได้นะครับ ซึ่งก็เป็นทรรศนะที่ ก็มีความเป็นไปได้ครับ แฮ่ะ :P
สวัสดีครับ
เคยอ่านนานแล้ว โองการแช่งน้ำ จิตร ภูมิศักดิ์เขียนไว้ ละเอียดหลายแง่มุมไม่แน่ใจว่าเล่มเดียวกับที่คุณกวินพูดถึงหรือเปล่า
การอ่านวรรณคดี ทำให้ได้แง่คิดหลายแง่มุม บางครั้งเราก็มองด้วยมุมปัจจุบัน คือมองแบบคณิตศาสตร์ ว่า คำนั้นๆ มีความหมายเพียงเท่านั้น ตามที่เรารู้จักในปัจจุบัน
โองการกล่าวถึงไฟเผาไตรตรึงษ์ แล้วเราก็อนุมานว่า ไฟไม่เผาสวรรค์ชั้นอื่น? อันนี้เรามองตามสายตาคนปัจจุบันมั้ง
ไตรตรึงษ์ เป็นคำที่คนไทยคุ้นที่สุดในบรรดาสวรรค์ทั้งหมด (ในบรรดาจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์/ไตรตึงษ์ ยามา ดุสิตา นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี, จากข้างบน)
สันนิษฐานว่า ไตรตรึงษ์ ก็คือ สวรรค์นั่นเอง แถวๆ ภาคกลาง ก็มีชื่อวัด ชื่อสถานที่ว่า ไตรตรึงษ์ ก็หลายที่ แต่ชื่อ ยามา หรือแม้ ดุสิต ก็ไม่ค่อยได้ยิน...
อาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า จารึกบางแผ่น อ่านบางคำ ก็แปลไม่ออก เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เพราะในจารึกท่านเขียนว่า ตาบติง... นั่นก็คือ ตาวติงส์ นั่นเอง อิๆๆ
เข้าใจว่า แนวคิดต่างๆ ที่มีอยู่ในไทยนั้น ไม่ได้ถ่ายเอกสารตรงมาจากอินเดีย, เขมรอาจจะตรงเป๊ะกว่า เรื่องแต่งผิดนั้นฟังดูก็ทะแม่ง แต่เรื่องความเชื่อที่ไม่ตรงกับอินเดียดูจะเข้ากันกว่า
สวัสดีครับอาจารย์ ธ.วั ช ชั ย ขอคุณสำหรับทรรศนะ ครับผมแก้ไขบทความเพิ่มเติม ไว้ยังงัย ลองอ่าน ดูนะครับ
มองจากสวรรค์ชั้น7