จากการปั่นเกลียวความรู้ในการตอบข้อคิดเห็นของ ท่านธรรมฐิต ในบันทึก ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตคือ โอกาส ที่เมตตาว่า
ทุกโอกาสเราควรทำความรู้จักศึกษาเรียนรู้จากมัน
อย่าผลักใสไล่ส่งมัน..เพียงแค่เพราะเราไม่ชอบ..
สาธุๆๆขอรับ..
*******************************************************
อย่าผลักไสไล่ส่งมัน หนูมองย้อนเข้ามาในตนเอง เมื่อก่อน หนูผลักไสแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ เหมือนเด็กที่ไม่ยอมรับความจริง
ตอนแรก ๆ ความโกรธเกิดขึ้นมาหนูไม่เห็นค่ะ ไม่รู้ด้วยว่าตนเองไปโกรธเขา รู้แต่เป็นหนัก ๆ อึ้ง ๆ คิดอะไรไม่ออก
พอครูท่านชี้ให้เห็นว่า "กำลังโกรธอยู่นะ"
ใจหนูกลับรู้สึกรับไม่ได้ ที่ตนเองจะไปโกรธคน ๆ นี้ พอโกรธขึ้นมา ก็รู้สึกซ้อนขึ้นมาอีกว่า "โกรธทำไม โกรธไม่ได้นะ คร่ำครวญไม่อยากให้ตนเองโกรธ"
หลัง ๆ มาครูท่านเมตตาสอนว่า
"ให้อยู่กับลมหายใจ อะไรจะเกิดขึ้นก็ให้หายใจสบาย หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย หายใจไปเรื่อย ๆ"
จะว่าหลัง ๆ มาก็ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ เพราะครูท่านสอนหนูเจริญสติตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน แต่หนูไม่ทำ พึ่งมาหัดทำไม่นานมานี่เอง ความจริงมันเป็นอย่างงี้แหละค่ะ กว่าท่านจะสอนหนูได้แต่ละอย่าเฮ้อน่าหนักใจแทนครู
หัดตอนแรกก็ทำไม่ค่อยเป็นค่ะ อยากให้มันหายไว ไว เอาหล่ะซิ นึกย้อนในตนเองก็รู้สึกสงสารปนเอ็นดูความโง่ของตนเอง
แค่คิดจะเริ่มหัดทำกับข้าว
ก็อยากทำให้อร่อยเทียบเท่าเชฟมือหนึ่งซะแล้ว
การภาวนาก็เหมือนกัน
หัดทำใหม่ ๆ มันก็ต้องมีลุ่ม ๆ ดอน ๆ ล้มลุกคุกคลานกันบ้าง
แต่ใจหนูหน่ะ มันโลภค่ะ อยากทำให้อร่อย
พอมันไม่อร่อยก็รู้สึกโกรธขึ้นมาหล่ะซะ เฮ่อ
ก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา
ใช่แล้ว เจ้าค่ะ หายใจสบาย
อยู่กับอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกที่ปรากฏ
สิ่ง ๆ นี้แหละที่ครูท่านเมตตาให้มา
แล้วทำให้หนู พอจะประคับประคองตนเองอยู่กับสภาวะบีบคั้นต่าง ๆ ได้อย่าง ใจดิ้นรนน้อยลง ผลักไสมันน้อยลง
เมื่อก่อนหนูก็เคยได้ยิน ได้อ่านคล้าย ๆ แบบนี้มาจากตำรา (ถ้าอ่านบันทึกนี้ของหนู วางตำรา แล้วหันมาอ่านใจ คงพอจะทราบว่า หนูเป็นนักอ่านมาก่อน)
ตอนอ่านในหนังสือแต่ละครั้งเหมือนจะเข้าใจแจ่มแจ้งอย่างบอกไม่ถูกเจ้าค่ะ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ พออารมณ์ ความคิด ความรู้สึก เข้ามาครอบงำจิตใจ ก็พึ่งมารู้ว่า ที่คิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว จากการอ่านตำรานั้น ผิด เพระแค่จำได้ ไม่ได้หมายถึง เข้า "ใจ"
จนมารู้จักครูท่านพาดู ทีละกระบวนท่า จริง ๆ ค่ะ ภาพมันเป็นแบบนี้จริง ๆ พาดูซ้ำ ๆ ด้วย เหมือน ให้ทำแบบฝึกให้ไปเรื่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ เปลี่ยนแค่เรื่องราว เปลี่ยนแค่โจทย์ แต่ให้ดูใจ อย่างมีสติกับลมหายใจ
แล้วที่เหลือความเปลี่ยนแปลงก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นเอง อย่างมหัศจรรย์แบบคาดไม่ถึงทีเดียวเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคณท่าน ธรรมฐิต ที่เมตตาให้หนูได้ทบทวนใจตนเอง
กราบขอบพระคุณครูที่เมตตาอบรมสั่งสอนเจ้าค่ะ
สวัสดีปีหม่ครับเอาบทความดีๆมาแบ่งปันกัน เอาจะเอาหลักปฏิบัติบ้าง ควบคุมอารมณ์ให้ผ่องใสจะได้ไม่เครียด โกรธก็รู้จักระงับ
ขอบพระคุณค่ะ นายหมูแดงอวกาศ
ถ้าเราทำอะไรด้วยจิตใจที่เบิกบานผ่องใสไม่ขุ่นมัว ก็จะเป็นการงานที่เป็นสุขสงบเย็น ขอบพระคุณค่ะ
สาธุๆๆเนาะใบไม้ร้องเพลงกับการปั่นเกลียวได้อย่างงดงาม
เมื่อเราไม่ผลักใสไล่ส่งมัน..แต่เรียนรู้กับปรากฏการณ์นั้นๆอย่างเข้าใจและเข้าถึง..
จนสามารถทำใจให้ยอมรับความเป็นจริงได้กับสิ่งที่เราพานพบ..
เมื่อนั้นเราจะดื่มด่ำกับความจริงแท้แห่งธรรม(ชาติ)ได้อย่างงดงามขอรับ..
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะท่าน ธรรมฐิต ที่เมตตา
ไม่ผลักไส...ในขณะเดียวกันก็ไม่ใฝ่หา
เพียงเรียนรู้และยอมรับทุกสิ่งที่เข้ามา...
สู้ๆ ค่ะ
ดาวก็ยังต้องสู้อีกแยะ อาจจะต้องขอคำแนะนำติ๋วในฐานะผู้มีประสบการณ์มาก่อน ^v^
ขอบพระคุณค่ะ blue_star
ติ๋วเป็นเพียงนักเดินทาง ผู้หนึ่ง
ที่ก็ยังไม่ได้พ้นจากการโดนครอบงำของอารมณ์และกิเลส
ที่มั่นใจว่ามีในตนนี้คือ ความกล้า (แม้บางครั้งจะดูบ้าบิ่น) และความอดทน
ส่วนด้านอื่น ๆ ก็ยังต้องสั่งสมอย่างอดทน
แต่ถ้าเห็นว่า ติ๋วมีอะไรที่พอจะเป็นกำลังใจ ให้หมอดาวได้ ก็ยินดีเจ้าค่ะ
(^_^)