เวลาคุยกับผู้ป่วย มีคำพูดหลายคำที่หมอหรือพยาบาลมักพูดติดปาก คำพูดที่ฟังดูดี ดูขลัง พูดตามๆกันมา แต่หลายครั้งคนพูดก็ไม่ทันคิดว่าจะทำตามคำพูดของตนเองได้หรือเปล่า คนฟังก็เคลิบเคลิ้มไปราวกับต้อง..มนตรา (mantras)
ศาตราจารย์ David Currow ซึ่งนั่งอยู่ด้วยบอกว่า ถ้านึกอะไรไม่ออกว่าเราใช้มนตรา อะไรกันบ้าง ให้ลองนึกถึงตอนคุยกับผู้ป่วยถึงตอนจบ ประโยคท้ายๆที่เราชอบพูดคืออะไร
ช่วโมงนี้เราแบ่งกลุ่มย่อยกันถกเรื่อง มนตรา หรือคำพูดที่ใช้กันบ่อยๆกับผู้ป่วย มีอะไรบ้าง มันเป็นจริงได้หรือ ทำไมมันยังขลังอยู่มิคลาย แล้วจะจัดการกับมันอย่างไร
มนตรา
มันเป็นจริงหรือไม่
ไม่จริงเสมอไป และส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น มีปัจจัยหลายอย่างกำหนด เช่น มีคน ยาอุปกรณ์ให้ความช่วยเหลือเพียงพอหรือไม่ เป็นต้น
ทำไมมันยังขลังอยู่
เพราะมันไม่ใช่เรื่องความหมายตามคำ แต่มันมีความหมายโดยนัย เป็นคำปลอบโยนให้รู้สึกสบายใจ และเรามักไม่ค่อยได้สนใจความหมายจริงๆของมันเท่าไร พูดตามๆกัน เพราะเคยได้ยินเขาพูดกัน
จะจัดการกับมันอย่างไร
ยอมรับว่า การใช้ภาษาเป็นเรื่องสำคัญและมีความหมายลึกซื้ง ผู้ป่วยบางคนจำ ตีความและยึดถือคำพูดของหมอ พยาบาล หรือผู้ดูแลเอามากๆ ความหมายนั้นเป็นทั้งความหมายตามตัวอักษร และความหมายโดยนัย เช่น เวลาเราพูดว่า ทำใจให้สบาย อาจหมายความว่า เราเป็นห่วงคุณนะ เป็นต้น
การปรับเปลี่ยนคำให้เหมาะสม เช่น แทนที่จะพูดว่า หมอจะไม่ทิ้งคุณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่หมอจะนั่งอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา ก็เปลี่ยนเป็น หมอจะช่วยคุณอย่างเต็มที่
ไม่ควรพูดหรือสัญญากับผู้ป่วย โดยเฉพาะกับเด็ก ถ้ารู้ว่า เราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เช่น เดี๋ยวหนูก็จะหายแล้วได้กลับไปหาเพื่อนที่โรงเรียน ทั้งๆที่มันไม่เป็นความจริง
การเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้สะท้อนความรู้สึกต่อคำพูดของเรา ก็จะช่วยให้เรารู้จักเขามากขึ้น เช่น ถามผู้ป่วยว่า รู้สึกอย่างไรเวลามีคนบอกว่า อย่าคิดมาก ทำใจให้สบาย ลองกลับไปดูบันทึกนี้ ของผม
ครับ มนตราจะขลัง ถ้ามันเป็นจริงและปฏิบัติได้
๕ ตุลาคม ๒๕๕๐
<< APHN Diploma of Palliative Care ๑๙: เรียนรู้อะไร เอาไปใช้อย่างไร
APHN Diploma of Palliative Care ๒๑: รอยต่อระหว่าง curative กับ palliative >>
คนจัดประชุมนี่ก็ช่างเก่งเหลือหลาย
คิดออกมาได้ยังไงว่าใช้มนตรา ระดมสมองคิดเรื่องมนตรา
เดี๋ยวหากภาคผมจัดกิจกรรม จะนิมนต์นะครับ
ชุดนักเรียนก็เสื้อขาว กางเกงดำขายาวครับ
หากเขาถามก็บอกว่าเป็นเด็กโพลิคลินิก เอ้ย โพลิเทคนิคครับ ฮ่า ฮ่า
แล้วจะพยายามให้คนถ่ายรูปผมมาให้ดูครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอเต็มศักดิ์ แวะเข้ามาเยี่ยมบล็อกสิงห์อีซ้าย เลยได้มาอ่านเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ palliative care ของคุณหมอต่อ
คุณพ่อเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเสียชีวิตไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นึกไปถึงตอนนั้น เวลาหมอบอกกับพ่อและครอบครัวเราว่า มีอะไรก็โทรหาได้ตลอด...หมอจะไม่ทิ้งคุณ....ดูคุณพ่อรู้สึกมีกำลังใจดีขึ้นค่ะ พวกเราก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าสถานการณ์ของโรคขณะนั้นจริง ๆ เป็นอย่างไร
คิดว่า คำพูด + แววตา +น้ำเสียง + การสัมผัสทางกายที่อ่อนโยน ที่สื่อออกมาจากใจที่มีเมตตากรุณาอย่างแท้จริงมีพลังมากเลยทีเดียว...มนตรานี้ รับรู้ได้ด้วยใจค่ะ
(คงไม่ง่ายเลยนะคะสำหรับแพทย์และพยาบาล โดยเฉพาะทุกคนก็มีเรื่องส่วนตัว งาน ฯลฯ ในชีวิตประจำวันที่ต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว...)
ความเห็นของผมต่อมนตรา
การร่ายมนต์บทเดียวกัน เช่น ในเรื่อง Harry Potter ร่ายมนต์บทเดียวกันได้ effect ที่ต่างกัน จะสังเกตว่า แม่มด/พ่อมดที่ชำนาญในการร่ายมนต์จะไม่ตายตัวกับบทใดบทหนึ่ง จะมุ่งที่ผลที่ต้องการ เช่น ต้องการได้ไข่มังกร แต่ไม่จำกัดวิธี harry ใช้มนต์เรียกไม้กวาดที่ตนเองชำนาญในการขี่ไม้กวาดหนีมังกรได้สำเร็จและนำไข่มังกรมาได้ เหมือนกับคนอื่นที่ใช้มนต์นสูงกว่าในการต่อสู้กับมังกร
"มนตราจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ถ้าผู้ร่ายมนต์ไม่สัทธา
มนตราจะไร้ผลถ้าไม่ชำนาญในการใช้
มนตราจะได้ผลถ้าคนร่ายใช้ใจร่ายมนต์
และมนต์ตราจะได้ผลสูงสุดเมื่อไม่ได้มนตราอย่างเดียว"
วันนี้รู้สึกผมจะค่อนข้างคิดอะไรแปลกๆไปหน่อยนะครับอาจารย์เต็ม