[http://bobthurman.com]
และสิ่งที่จะทำให้คนศิวิไลซ์คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ในยุคนี้เราความควรเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าในรูปแบบของระบบการศึกษา (system of education) ที่เข้าได้กับคนทุกศาสนา ไม่ควรไปเผยแผ่ในรูปแบบของ"ศาสนา"พุทธ
สรุปประเด็นสำคัญๆอื่นๆได้ประมาณว่า
สรุปวันนี้ท่านพูดเรื่องเดิมๆที่รู้แล้ว ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งธรรมะ แต่ท่านเป็นคนพูดเก่ง เล่าเรื่องสนุก ฟังไม่เบื่อ ส่วนนึงที่ทำให้คนหัวเราะคือท่านบ่นและประชดเรื่องการเมืองโดยเฉพาะการเมือง republican อเมริกัน ซึ่งคนที่ liberal หรืออยู่ข้าง democrat ก็จะชอบ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ามัน Cliche ไปหน่อย โดยรวมชอบ lecture นี้แต่ไม่ได้ประทับใจหรือมีแรงบันดาลใจอะไรล้นหลาม และรู้สึกว่าท่านบ่นประชดประชันได้สนุกดีแต่ไม่ compassionate ฟังแล้วไม่ได้ positive energy เหมือนกับเวลาไปฟังท่านดาไลลามะ ท่าน Desmond Tutu หรือ Prof. Yunus
ขอบคุณค่ะคุณกวินทรากร
เปิดพจนานุกรมดูแล้วคะ
ทำให้ไปเปิด dictionary ต่อด้วยว่าจริงๆที่แปลคำว่า civilization ว่า อารยธรรม ก็เข้าใจง่ายกว่าเขียนทับศัพท์ว่า ศิวิไลซ์ อีก!
"คนมีอารยะ" หรือ "อารยชน" นั่นเอง
ขยันเขียนเพราะมีเรื่องเขียนพอดีค่ะ แล้วคนที่ไปฟังด้วยบ่นๆกันว่าฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยเขียนสรุปไว้กันลืมด้วย ให้คนอื่นอ่านด้วย
เดี๋ยวจะหายไปไม่เขียนบันทึก ซัก 2 อาทิตย์ค่ะ เพราะจะส่งงาน แต่คงยังเขียนอนุทินอยู่เรื่อยๆ
สวัสดีค่ะคุณหมอมัท
แม้จะเป็นเรื่องเดิมๆ ที่หมอมัท รู้แล้ว
แต่ก็เป็นการสรุปให้คนที่ไม่ได้ไปฟังด้วยเข้าใจได้ง่ายด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ แวะมาอ่านอีกแล้ว...อิอิ
เห็นเกี่ยวกับธรรมและโลก เลยแว๊บเข้ามา อ่านแล้วช่วยเตือนสติดีค่ะ ส่วนตัวมักจะศึกษาธรรมของท่านพุทธทาสอยู่ประจำ แต่ก็ขาดสติประจำเวลาออกสู่โลกภายนอก ขอบคุณที่เล่าสู่กันฟังค่ะ :-)
[เคยเขียนไว้ในอนุทิน | ขอเอามาแปะไว้ที่นี่ด้วยค่ะ]
Prof. Bob Thurman เล่าให้ฟังว่าท่านดาไล ลามะ เป็นคนมีอารมณ์ขันมาก เคยขอ Bob ว่าอยากไปเข้าร่วมงานพิพากษาที่ฝ่าย creationist กับ evolutionist ขึ้นศาลเถียงกัน เมื่อปีก่อนที่ต้องตกลงว่าจะสอน evolution ในรร.ของรัฐในอเมริกาหรือไม่อย่างไร
ท่านดาไล ลามะบอกว่าจะไปให้การว่า คนธิเบตเชื่อว่ามี god เพราะพวกเค้าเกิดมาจาก god แต่ god ของพวกเค้าเป็นลิง (พ่อเป็นลิงที่เป็นอวโลติเกศวรอวตาร แม่เป็นนางยักษ์)
เฮอะๆ จบ หมดเรื่องหมดราว
"The legends say that before the advent of human beings, Tibet was a place where the ogress (female giant) of the rocks ran amok. Seeing the distress of the living creatures that lived there the Bodhisattva of Mercy (Avalokiteshvara) transformed into a macaque monkey and mated with the ogress (an emanation of the goddess Tara). Six baby monkeys were born that bred to make 500 monkeys and who, in the course of time, lost their tails and began to speak. Gradually they evolved into human beings and were, according to legend, the first Tibetans."
[จาก http://www.tibetan-buddhism.com]
ปล. สังเกตว่าพิมพ์ว่า god ไม่ใช่ God
ขอบคุณ พี่แจ๋ว (jaewjingjing) และ คุณมาริสา (พยูน ชีวิตงงๆ) มากๆค่ะ
Prof. Thurman พูดยาวมาก เกือบ 2 ชม. มัทแปลแต่แกนๆที่ท่านเน้น จริงๆมีอะไรมากกว่านี้ ไว้ถ้านึกอะไรน่าสนใจได้เมื่อไหร่จะมาเขียนเพิ่มนะคะ อย่างเรื่อง ลิงที่เป็น god god ที่เป็นลิง เป็นต้น
สวัสดีค่ะคุณ กวินทรากร
คิดอยู่เชียวว่าจะมาเขียนเรื่องที่เกี่ยวกันนี้ต่อ
God คือ พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวผู้นั้นที่สร้างโลกและกำหนดความเป็นไปของสรรพสิ่ง
god คือ เทพเจ้า หรือ spiritual existence อะไรบางอย่างแล้วแต่จะตั้งชื่อ มีได้หลายองค์
Prof. Thurman พูดว่า พุทธรรม ไม่ได้ปฏิเสธว่ามี spiritual existences แต่ว่าปฏิเสธว่ามีเทพหรือเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ของศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่คุมทุกสิ่ง และที่สำคัญคือศาสนาพุทธสอนว่า เทพเหล่านั้นก็ยังไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ ยังอยู่ในวงจรของกรรม
สรุปว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ Ahteist แต่เป็น Non-theist คือ ไม่เชื่อว่าการพึ่งเทพใดๆเป็นทางหลุดพ้น
แต่ในขณะเดียวกันเราต้องเข้าใจว่า
คำว่า God (G ตัวใหญ่) นั้นลึกซึ้งกว่า god มาก
Prof. Thurman พูดว่าคนศาสนา monotheist บางคนที่"เข้าถึง" ก็อธิบายคำว่า God ของเค้าได้ใกล้เคียงกับคำว่า Truth (T ตัวใหญ่) หรือ สัจธรรม มาก
การพยายามอธิบายว่า God ของเขา (ของใครของมัน) คืออะไร ก็คล้ายการอธิบายว่า Oneness หรือ สูญญตา หรือ อะไรบางอย่างที่"เข้าใจและเห็น"ได้จากการปฏิบัติ แต่พูดออกมาเป็นคำๆได้ยากมาก
ไอ้ความยากนี่แหละที่ทำให้นิยามของคำว่า God ถูกบิดไปจนหลายเป็นสิ่งจับต้องได้ยึดได้ไปซะมาก หลายคนคิดว่า god คือ God เป็นต้น ท่านมีไว้ให้ขอพร เป็นต้น (อย่าว่าคนศาสนาอื่นเลยค่ะ คนที่เรียกตัวเองว่าพุทธก็เหมือนกัน)
ผมชอบนิยามของท่าน ที่กล่าวถึง ศิวิไลซ์
แล้วก็เห็นว่า ท่านดู เรียลลิตี้ดีครับ ใช่เป๊ะ ที่บอกว่าการเผยแผ่ศาสนาพุทธออกไป ควรเป็นในรูปแบบการศึกษา ไม่ใช่ ศาสนา
แต่ที่ชอบมากกว่าคือบันทึกของอาจารย์ ที่ย่อยมาให้อ่านได้ดีครับ มีความเห็นส่งท้ายไว้ ดีเยี่ยมครับ
แต่แปลก ๆ ว่า บางตัวหนังสือที่ผิดทำไมอาจารย์ใช้ขีดขวาง อะครับ