รู้สึกการมีชีวิต เมื่อใช้ชีวิต


รู้สึกการมีชีวิต เมื่อใช้ชีวิต

เคยรู้สึกอย่างนี้ไหมครับ ทำงานไป อยู่ไป เรียนไป จู่ๆก็เริ่มรู้สึกมีอะไรขาด อะไรว่างๆ โหวงเหวง เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบโค้กมากิน (เพราะคิดว่าน้ำตาลในเลือดต่ำ) ก็รู้สึกไม่สุขสดชื่นเหมือนเคย (แบบคนติดโค้ก) ใจหายวาบ เอ.... เราเบื่ออาหาร ขนาดกินโค้กไม่ซาบซ่านี่ จะเป็นมะเร็งรึเปล่าหว่า คิดไปโน่น... เดินกลัดกลุ้มวนเวียนไปมา จนสุดท้าย อาจจะหยิบหนังสือเล่มนึงมาอ่าน หรือออกไปวิ่งกับหมา หรือหยิบกระป๋องน้ำเดินไปรดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน เรี่ยวแรงถึงค่อยๆกลับมา สีสันของดอกไม้เริ่มชัดเจนมากขึ้น กลับไปหยิบโค้กมาจิบต่อ ฮ่า...... สดชื่นนนนน This is better!!

เราเป็นอะไรไป?

หรือคำถามอีกแบบนึงก็คือ "อะไรที่ขาดหายไป และอะไรที่เติมให้เต็ม?"

สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเล็กน้อย อาจจะไม่เห็นมีระบบระเบียบอะไรเลย (ซึ่งจริงๆประเด็นนี้ก็ทำให้ผมสนใจ "ความไม่เป็นระบบระเบียบ") แต่มันเหมือนกับว่า ร่างกายทางกายภาพของเรานี้ แม้จะสะสมพลังงานศักย์มากมายในรูปแบบต่างๆ มีกล้ามเนื้อ มีเลือด มีน้ำ วิ่งไปวิ่งมา แต่เรายัง "ไม่ได้รู้สึกถึงชีวิต" จนกว่า จุด จุด จุด จุด จะเกิดขึ้นในการ "รับรู้" ของเราเสียก่อน

ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำถาม ว่า "เรารับรู้อะไร จึงจะรู้สึกถึงการมีชีวิต และชีวา?"

เดี๋ยวนี้เรามีปรัชญาการดำรงชีวิตมากมายหลากหลาย ทั้งในแง่จิต ในแง่กาย ในแง่เศรษฐศาสตร์ การเมือง ฯลฯ ผมเคยพูดถึงปรัชญาระดับ ความดี ความงาม ความจริง แต่ครั้งนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป เป็นพื้่นฐานมากกว่า เรียบง่ายมากกว่า เรื่องที่เขียนในวันนี้ เกิดจากได้ไปอ่านบทความหนึ่ง ชื่อ แสงตะวันในฤดูกาลอันมืดมิด ในเวปไซด์ new heart, new life ที่คนคอเดียวกันหลายๆคน ได้แก่ พี่วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หมอวรวุฒิ โฆวัชรกุล พี่กิจจา เจียรพัฒนกนก และคุณพัฒนา แสงเรียง ได้มามั่วสุมชุมนุมกันอยู่ ในบทความนี้ ผมอ่านเรื่องนิทานปิศาจไขว่คว้าลม ก็รู้สึกว่าโดนมาก

มีคนมากมายจำนวนมากรอบๆตัวเรา ที่กำลังดิ้นรน กระเสือกกระสน และไขว่คว้าอะไรบางอย่าง หรือหลายๆอย่างอยู่ตลอดเวลา จนบางทีเราก็เหนื่อยแทน บางทีเห็น lifestyle ของคนบางคน เราแทบอยากจะถอนหายใจแทน เพราะเขาดูจะไม่มีเวลาถอนหายใจเลย และบางทีเราก็คิดต่อไปว่า ทำไมหนอ เขาจึงได้ไม่ช้าลง หยุดกระเสือกกระสน และเสพสุขกับการนิ่งเฉย การใคร่ครวญ การอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น

แต่คิดอย่างนั้น เราเองที่อาจจะกำลัง download คุณค่าอะไรบางอย่างของเรา และกำลังจะไปครอบให้คนอื่นหรือไม่?

เป็นไปได้หรือไม่ที่ การดิ้นรน กระเสือกกระสน ไขว่คว้า นั้น ก็คือ vital signs หรือสัญญานชีพของคนเหล่านี้? และเมื่อสิ่งเหล่านี้หมดไป ก็เหมือนกับสัญญานชีพสิ้นสุดลง

Involutional Melancholia หรือ โรคเศร้าในวัยต่อ ในกลุ่มคนที่ทำงานมาตลอดทั้งชีวิต เมื่อมาถึงวันเกษียณ ถ้าไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เตรียมหาอะไรทำ เตรียมการเดินทางรอบโลก หาหลานมาเลี้ยง คนบางคนอาจจะเข้าสู่ภาวะเศร้าซึม ทั้งๆที่มีเวลาพักผ่อนมากมาย มีโอกาสที่จะ "ช้าลง" อย่างที่ตั้งความหวังไว้มานานแล้ว แต่ "งานประจำ" ที่หลุดไปจากวิถีชีวิตนั้น แทบจะดึงเอาชีวิตชีวาที่เคยมีมาตลอดหลายสิบปี ให้หลุดลอยตามไปด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ กิจวัตรประจำวัน burdens ภาระต่างๆของเราในแต่ละวัน  เหตุการณ์ที่เราเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า อยากจะหยุด อยากจะเลิก ที่จริงในกิจวัตรเหล่านี้ มันหล่อเลี้ยงความเป็นเรา ความเป็นคน ความมีชีวิต ความมีชีวา อยู่มากแค่ไหน เรามองไม่เห็น จนกว่าผลกระทบหลังจากที่เรา "เลิกทำ" ลอยมากระทบใส่หน้าเราเต็มๆ ตอนเกษียณ ตอนจะเลิกราจริงๆนั้นเอง

ปัญหาส่วนหนึ่งก็คือ เราไม่ได้คิดว่า "ชีวิตชีวา" ของเรามันอยู่ ณ ปรัตยุบันกาล ณ ขณะที่เรา "กำลังทำ" กำลังใช้ชีวิต แต่ไปมองหา achievement ปลาย หรือผลลัพธ์กันอยู่ตลอดเวลา จริงๆแล้ว ถ้าเราถอดวิญญาณออกจากร่าง มองย้อนกลับมาที่ตัวเราตอนกำลังทำงาน เราอาจจะสำนึกได้ว่า สีหน้า แววตา ท่าทาง ของเราตอนนั้นแหละ ที่กำลังบรรเลง The Greatest Overture of Life โหมโรงชีวิตอยู่อย่างสวยงามที่สุดแล้ว ไม่ใช่ตอนจบ ไม่ใช่ตอนที่ทุกอย่างสิ้นสุดลง

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่เราใช้ก็คือ awareness หรือการมีสติ สัมปชัญญะ รู้เท่าทันว่าเรากำลังทำอะไร เรากำลังใช้ชีวิตอย่างไร ณ ตอนนี้

ถ้าหากเรารู้สติตลอดเวลา การจะเป็น "ปิศาจคว้าลม" อย่างในนิทาน ก็อาจจะไม่เลวร้ายเกินไป อย่างน้อย เรายังมีลมที่จะไขว่คว้า และยังสามารถทำอะไรเพื่อที่จะไขว่คว้าได้ จะดีกว่านั้นอีก ถ้า "ลม" นั้น เป็นอะไรที่มีความหมายสำหรับคนอื่นๆ สังคม และมวลมนุษยชาติด้วย

คำสำคัญ (Tags): #ชีวา#ชีวิต
หมายเลขบันทึก: 213774เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2008 10:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 เมษายน 2012 22:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

มนุษย์นับวันจะใกล้ซากของสิ่งมีชีวิตเข้าไปทุกวัน

เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ว่า

ชีวิตชีวาอยู่ในปรัตยุบันกาล

บางคนติดกับอดีตจนอดีตทำร้าย

บางคนเฝ้าไขว่อนาคตหลงเพ้อ

อยู่กับวันนี้ดีที่สุด

สวัสดีค่ะ

สวัสดีครับ คุณ Mr jod P

ยินดีต้อนรับ และขอบคุณสำหรับการประเมินครับ อิ อิ

สวัสดีครับP คุณมารียา

ถ้าเราไม่ได้ "ตระหนัก" การมีชีวิต ขณะที่เราใช้่ชีวิต ก็เหมือนกับเราเป็นหุ่นที่มีคนไขลาน หรือชักใย พอตกกลางคืน พอถ่านหมด หรือวางเชือก ก็สลบไสลไปวันๆ

ยินดีที่มาเยี่ยมเยียนนะครับ

การคิดได้ในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เมื่อหลายปีก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่วิ่งจับอนาคตอยู่ตลอดเวลาและไม่รู้จักมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันครับ พอทำชีวิตช้าลงก็มีเวลาคิดมากขึ้น ปรากฎว่าสิ่งที่ค้นหานั้นมีอยู่หมดแล้วเพียงแต่รีบร้อนเกินไปจนมองไม่เห็นครับ

สวัสดีครับ อ.ธวัชชัยครับ

เรียกว่าขนตาบังภูเขาครับ อิ อิ

ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่อง "เหมาโหลถูกกว่า" หรือ Cheaper by the Dozen ของ แฟรงค์ บี กิลเบรธ และลิเลียน กิลเบรธ ทั้งสองคนเป็นสมาชิกของ "โหลนึง" ของ แฟรธ กิิลเบรธ อเมริกันผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะเป็นหนึ่งในแนวหน้าคนที่ศึึกษาการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ ครั้งนึง เขาเคยลงทุนถ่ายทำการผ่าตัดทอนซิล โดยใช้วาระที่ลูกๆหลายคนของเขา คออักเสบ เพื่อที่จะศึกษาการวางอุปกรณ์ในห้องผ่าตัด การยืน การส่งเครื่องมือ ฯลฯ

มีคนถามแฟรงค์ กิลเบรธว่า จะประหยัดเวลาไปทำไมกัน เวลามีอยู่เหลือเฟือ แฟรงค์ตอบทำนองว่า (ผมไม่มีต้นฉบับในมือ ณ ขณะนี้) เพื่อที่เราจะได้มี precious time ไปทำอะไรอย่างอื่นๆ ที่มีความหมาย... หรือแม้กระทั่งการนับเสียงหัวใจเต้นก็ยังได้่!!

ต้นฉบับภาษาอังกฤษอาจจะหายากนิดนึง ผมซื้อจากอเมซอน ส่วนภาษาไทยมีคนแปลแล้วครับ แปลได้น่าอ่าน น่ารักมากทีเดียว

สวัสดีครับ

  • มาติดตาม เติมเต็ม เรื่องดีๆและน่าคิดต่อการดำเนินชีวิตยุคที่อะไรๆดูสับสนมากมาย
  •  "ชีวิตชีวา" ของเรามันอยู่ ณ ปรัตยุบันกาล ณ ขณะที่เรา "กำลังทำ" กำลังใช้ชีวิต .. ผมค่อนข้างพอใจตัวเองที่รู้สึกว่าสามารถทำได้ไม่น้อย .. นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ได้พบว่าหลังจากออกจากราชการมา .. ไม่ได้มีความรู้สึกเคว้งคว้าง เลื่อนลอย หรือเหงาเลย .. เรื่องควรทำ  น่าทำ และอยากทำ ยังมีอีกมากมายนัก
  • ยิ่งชินกับการทำงานโดยไม่ได้นึกถึงผลประโยชน์ของเราเป็นใหญ่ แต่มองออกไปถึงสิ่งที่ผู้คนอื่นมากมายจะพลอยได้รับอานิสงส์จากสิ่งที่เราคิดและทำ .. งานทุกอย่างก็เลยสนุก และให้ความเพลิดเพลินไปทันทีในขณะที่ทำ .. ยังไม่ทันเห็นผลสุดท้าย เราก็เก็บเกี่ยวความสุข ความพอใจไปแล้วมากมาย เก็บเอาตอนที่ใจจดจ่อ อยู่กับสิ่งที่ทำ ณ ปัจจุบันขณะ นั้นๆ นั่นเองครับ .. พักผ่อนด้วยการทำงานจึงเป็นจริงได้ไม่ยาก
  • ปัจจุบันเป็นเช่นนั้นจริงๆครับ .. ส่วนอนาคต ก็คงต้องคอยตรวจสอบ คอยสังเกตกันต่อไป .. แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่น่าเป็นห่วงครับ

.....เหตุการณ์ที่เราเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า อยากจะหยุด อยากจะเลิก ที่จริงในกิจวัตรเหล่านี้ มันหล่อเลี้ยงความเป็นเรา ความเป็นคน ความมีชีวิต ความมีชีวา อยู่มากแค่ไหน เรามองไม่เห็น จนกว่าผลกระทบหลังจากที่เรา "เลิกทำ" ลอยมากระทบใส่หน้าเราเต็มๆ ตอนเกษียณ ตอนจะเลิกราจริงๆนั้นเอง.....

ขอบคุณค่ะ อาจารย์ สบายดีไหมคะ พอลล่าติดตามอ่านอยู่ประจำนะค เอาเรื่องของอาจารย์ไปเล่าทุกครั้งเลยค่ะ อิอิ...ครูบาอาจารย์ ต้องนับถือ ๆๆๆ

Pอ. handy ครับผม

สวัสดีครับ ขอบคุณที่กรุณามาเยี่ยมเยียน และเติมต่อ ฟังที่อาจารย์เล่า นี่เป็น dream retirement ของผมเลยนะครับ ที่ยังรู้สึก "เต็ม" ต่อๆไป เป็นอิสระ และได้ทำในสิ่งที่ตนเอง 100% pick, choose ที่จะทำต่อ จะพยายามทำให้ได้อย่างอาจารย์ครับ

ขอบพระคุณที่ช่วยทำให้เป็นกำลังใจว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงๆที่จะทำครับ

Pสวัสดีครับ คุณ paula

ไม่ยักทราบว่าคุณพอลล่ากำลังจะเกษียณแล้วนะครับ (อิ อิ อิ)

แย่จัง ... หนูยังไม่รู้สึก ... เบื่อ ... อาจารย์เลยสักกะตึ๊ดดดด

ช่างเป็นมารหัวดื้อจริงๆ ... เห็นว่าอย่างงั้นด้วยมั้ยคะ

...

หนูออกจะผิดหวังอย่างมากกกก ... ที่ไม่มี reply ... response? ต่อเรื่องเล่าของเจ้า Lucifer ... คือที่จริงหวังอยู่เงียบๆ ว่าอาจารย์อาจจะหงุดหงิด ... ควันออกหู .. >> ดังนั้นการที่ absolutely emotionless จึงทำลายความตั้งใจอย่างแรง .. ช่างมันเถอะ

by the way

อาจารย์ชอบเรื่องราวของ "ปิศาจคว้าลม" มากกว่าจริงๆ หรือคะ?

แปลกจัง .. แปลกมาก

หรือเป็นเพราะพักหลัง(หลายปีมานี้) เรา face to face กันน้อยเกินไป?

เนื่องจากหลังจากอ่านแล้ว หนูเข้าใจว่า ชายคนที่ 2 เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจว่า "อยากจะเป็น" ปิศาจคว้าลมนี่นะคะ ชายทั้ง 2 คน ต่างต้องการไปให้ถึงอีกฝั่งของปลายทาง ปัญหาคือ "วิธี" กับการ "บริหารความเสี่ยง"

คนแรก ... ไว้ใจตัวเอง มากกว่า ยอมใช้เวลาเดินทางนานกว่า ลำบากมากกว่า?

ในขณะที่ คนที่ 2 แขวนชะตาครึ่งหนึ่งไว้กับสิ่งที่ไม่รู้ เลือกที่จะเสียงโชค .. ไม่สิ ในเรื่องมันถูกเรียกว่า "ปัญญา" ก็ OK ค่ะ ความสำเร็จใน 2 ครั้งแรก อาจเป็น positive reinforcement ทำให้เกิดพฤติกรรมเลือกทำซ้ำในครั้งที่ 3 แต่

"เล่ห์กล .. ใช้ได้ผลบางครั้ง แต่มันฆ่าตัวตายเสมอ"

จาก Sand and Form น่ะค่ะ Kahrlil Gibran

หนูไม่ได้ค้านเรื่อง The Greatest Overture of Life ที่ "ไม่สัมพันธ์เสมอไป" กัน achievement ปลาย นะคะ แต่ การจะเป็น "ปิศาจคว้าลม" มันไม่ได้ดูเหมือนจะมีรสหอมหวานอะไรอย่างที่อาจารย์ว่า อย่างน้อย ตอนจบของเรื่องเล่า ... ก็ไม่ได้ถูกเล่าว่า ชายคนที่ 2 มีความสุขกับสิ่งที่ "ไม่ได้เลือก"

"ปิศาจคว้าลม" มันเป็น "สิ่งที่ถูกบังคับเลือก" ซึ่งการจะมีความสุขกับมันได้ เป็นคนละตอน คนละเรื่อง คนละการใช้ความคิด แม้กระทั่งเหตุผล กับ "สติ" อย่างทีอ้างในตอนท้าย .. เข้าใจยากมั้ยคะ .. คือตั้งใจจะหมายความว่า

ถึงแม้จะเป็นปิศาจคว้าลม หรือต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ได้อยากจะเลือก "แต่แรก" ... ก็สามารถ "อยู่อย่างมีสติ กับสิ่งที่จำเป็นต้องเป็นได้" ..

แต่ .. อย่างว่าแหละค่ะ .. หนูไม่แน่ใจเลยจริงๆ ว่า

Short cut มันกลายเป็น Choice ที่ดีกว่าไปตั้งแต่เมื่อไร ... ได้ยังไง??

เรื่องแบบนี้มันดีตรงที่สามารถตีความได้ตามแต่ปัจเจกบุคคลไงล่ะครับ

หนูไม่ค่อยชินเลย ...

อาจารย์ไม่รู้สึกหงุดหงิดบ้างเลยหรือคะ ... แบบที่เคยน่ะค่ะ

สักหน่อย .. ดีมั้ยคะ .. นะคะ ... หงุดหงิดให้ได้ชื่นใจสักนิดดดดด

จะได้เป็น Reward ให้มาติดตามผลงานของอาจารย์อีก

ถ้าหนูหายไปเนี่ย ... คงไม่มีใครมาเถียงอาจารย์เป็นฉากๆ ยังงี้หรอก

เหงาออก ... นะคะ

ผมไม่แน่ใจว่าหงุดหงิดแบบที่เคยเป็นเช่นไร อาจจะเพราะลืมไปแล้ว หรือว่าเกิดความเข้าใจผิดว่าผมหงุดหงิดก็เป็นได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการเติบโตของแต่ละปัจเจกบุคคลนั้น มีผลกระทบเป็นวงกว้างกว่าที่เราจินตนาการไว้เสมอ ไม่จำเป็นจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงก็ได้

ก็ .... คล้ายๆ ยังงี้ล่ะค่ะ ...

คืนนี้หนูคงนอนหลับฝันดี (ละประโยคหลังจาก "แต่จะอย่างไรก็ตาม" ไว้ในฐานที่ "ไม่เข้าใจ" นะคะ )

Good night ค่ะ .. kisssss

เคยอ่านพบว่า(ของท่านพุทธทาส???)

มีชีวิตอยู่นิ่ง ๆ นิ่ง นิ่ง และ นิ่ง ให้ได้อย่างธรรมดา

นั่นก็ คือ ความสุข แล้ว

อะไรที่ขาดหายไป และอะไรที่เตีมให้เต็ม

กลับมาถึงบ้านแล้ว เปิดมาที่นี่เป็นครั้งแรก ด้วยความรู้สึกว่ามีอะไรที่ขาดหายไปจริงๆ มันขาดหายไปด้วยความรู้สึกผิดหวังกับอะไรบางอย่าง แม้จะรู้สึกว่าได้รับคำตอบจากอาจารย์อานนท์และอาจารย์สกลบ้างแล้ว แต่ทำไมถึงอึดอัดใจ ลำบากใจ แม้จะไม่ยากนักที่จะจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ แต่บอกตามตรงว่ามันขาด ด้วยเงื่อนไขของใจบางอย่าง

"งักปุกคุ้ง" จากกระบี่เย้ยยุทธจักร อาจารย์สกลหัวเราะ ได้ยินเสียงของอาจารย์เบาๆ "วิญญูชนจอมปลอม"

บางครั้งเมื่อเราให้โอกาสคน เราควรจะให้ตลอดไปไหมคะอาจารย์ ด้วยความเชื่ออย่างสุดซึ้งว่า คนมีหลายด้าน เมื่อเราพยายามมองในด้านสวยงามของเขาแล้วมันทำให้เราพลาดหรือลืมที่จะพยายามมองอีกด้าน เราไม่ได้เจ็บปวดอะไรหรอก แต่รู้สึกถูกคุกคาม เราจัดการกับตัวเองทั้งกายและใจไม่ยากหรอกค่ะอาจารย์สกล

ในโลกนี้มีความลับอะไรมากมาย เคยเชื่อว่าเราไม่ควรมีความลับ และยังเชื่ออยู่จนบัดนี้ เคยดูหนังเรื่อง "The secret" ไหมคะ ที่เป็นหนังเด็กๆ แล้วมีกล่องเก็บความลับน่ะคะ หนังสะท้อนให้เห็นว่า ความลับไม่ใช่สิ่งสวยงาม แต่การไม่มีความลับต่างหากที่เป็นสิ่งสวยงาม

เอาอะไรเติมให้เต็มดีล่ะ ไปกินข้าวดีกว่า ให้กระเพาะเต็มไว้ก่อน

"งักปุกคุ้งตัวจริง"

คุณเสาวรีครับผม

ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Last Lecture ของ Randy Pausch เขียนอะไรไว้น่าสนใจหลายอย่าง มีตอนหนึ่งที่เขาเล่าสิ่งที่ครูของเขาพูดแล้วประทับใจ ผมก็เลยขอฉวยโอกาสเล่าต่อๆไป เขาว่ายังงี้ครับ

"ถ้าเราให้เวลานานพอ คนทุกคนสามารถทำให้เราประทับใจได้ในที่สุด"

ฟังดูอาจจะเป็นพวก positive thinking สุดๆ แต่โดยเนื้อหาสาระแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับที่ที่เราพูดว่า "เรามีศรัทธาในศักยภาพที่แท้ของมนุษย์" และ "มนุษย์ทุกคนแล้ว เนื้อแท้อยากเป็นคนดี"

แน่นอนนั่นก็เป็น "การรับรู้" ซึ่งเราต้องนำไปเชื่อมโยงกับบริบท อำนาจ พลัง ของตัวเราเอง ว่าเรามีกำลังแค่ไหน มีหน้าที่รับผิดชอบกับใครบ้าง และเราควรจะแบ่งปันพลังงานให้กับใคร แค่ไหน อย่างไร จึงจะคุ้มค่าชีวิต (อันแสนสั้น) ของเรามากที่สุด

บางทีเราอาจจะแปลกใจที่เรา waste เวลาอันมีค่ากับคนที่ยังไม่ถึง "วาระ" ที่จะเปลี่ยน และกลับทอดทิ้งคนอีกหลายๆคนที่พร้อมแล้ว แต่ไม่ยักจะมีใครมาช่วยเหลือ

หรือไม่?

ตรงนี้ก็จะเหมือนกับที่ที่เราสนทนากันเรื่อง​"เราควรจะเริ่มทำในสิ่งที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยหาลู่ทางทำในสิ่งที่ need" เราสามารถช่วยคนไข้เตียงข้างหน้านี้ได้แล้ว แต่บางทีใจเราก็ไปพะวงกับคนไข้อีกสองร้อยคนวันพรุ่งนี้แทน บางทีเราสามารถช่วยน้องใน ward เราได้แล้ว แต่ใจเรากลับไปพะวงกับจะเปลี่ยน surveyor ที่จะมาตรวจ รพ.เราเดือนหน้ายังไงดี

ก่อนที่จะคิดจะทำอะไรที่ห่างไกล และทำไม่ได้ให้ทุกข์ใจ ลองใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดีว่า ณ​ ปรัตยุบันกาล และรอบๆตัว หมดภาระหน้าที่และสิ่งดีงามที่เราสามารถทำได้เลยไปหมดแล้ว มิฉะนั้น เราพึงจะเก็บสิ่งเหล่านี้ให้หมด อยู่กับปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ ขณะนี้

สุดท้ายเราอาจจะ enjoy กับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราทำได้ สิ่งที่เราเห็นว่าควร จนลืม "ภาวะคุกคาม" อันเป็นมารยับยั้งการพัฒนาจิตของเราไปได้

ก็เป็นไปได้นะครับ

เห็นด้วยๆๆ เห็นด้วยค่ะ หนูก็อ่านและชอบข้อความ ตามที่อาจารย์ว่า

เพราะตัวหนูเป็น ...ในนั้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท