Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ตอนที่ ๕ หลงทาง


พระครูปลัดวีระนนท์ วีรนนฺโท : เจ้าอาวาสวัดป่าเจริญราช http://www.veeranon.com/

หลังจากที่พระหนุ่มไม่เห็นโยมที่จะถามทางลงไปยังลำธาร ก็ได้แต่สอดส่ายสายตามองหาโยม เพื่อที่จะถามให้ มั่นใจอีกที แต่ก็ไม่พบ พระหนุ่มก็ได้พยายามเดินหาแหล่งน้ำที่โยมชี้บอกทางให้แต่ก็ไม่เจอแหล่งน้ำ จนเดินข้ามเขาไปอีกลูกหนึ่งเป็นระยะทางประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ก็สามารถข้ามเขาได้ แต่ก็ล่วงเวลาไปจน ๒๐ นาฬิกา

พระหนุ่มคิดในใจว่าคืนนี้อากาศดีเย็นสบายท้องฟ้าพอมีแสงส่องลงมา ให้เห็นทางเดินบ้าง ท่านก็เลยเดินในเวลาค่ำ เดินไปกำหนดฟังเสียงนกร้องเพลงให้ฟังเวลาค่ำคืนในป่าลึก ซึ่งมีแมกไม้หนาทึบคลุมสองข้างทางเดินที่ไม่ใช่ทางเดิน พอมองเห็นทางสลัวๆ

ที่กล่าวว่า ทางเดินไม่ใช่ทางเดิน นั้นหมายถึงว่าเหมือนทางวัวป่าเดินกินหญ้านั่นเอง พระหนุ่มอาศัยช่องทางเล็กๆเดินไปเรื่อยๆเวลานี้น่าจะเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ


ป่าเมืองลับแล

 

     ทันใดนั้นพระหนุ่มก็ได้ยินเสียงคนพูดกันสำเนียงเป็นภาษาลาวว่า "ทางเดินนี้ไม่มีคนชอบเดิน มีแต่ผู้วิเศษเดินทางของเมืองเราเท่านั้น" และก็ได้ยินเสียงพูดตอบโต้ว่า

"ในเขตภูเขาควายข่องแคบเมืองของเราตรงนี้ไม่มีใครมาเด้อะ"

ซึ่งฟังแล้วเป็นเสียงคนแก่พูด และมีเสียงพูดขึ้นอีกว่า "มีอยู่เดี๋ยวนี้กำลังมีคนที่บ่อแม้นคนมา"

พระภิกษุหนุ่มก็พูดกับตัวเอง "ฟังเหมือนเสียงเด็กคืนนี้เราคงต้องปักกลดแถวนี้ ถ้าเดินมากไปกลัวหลงทาง"

พระหนุ่มก็อธิษฐานปักกลดในบริเวณป่านั้น โดยมองไม่ออกว่าเป็นที่ไหน แต่ก็ได้แต่รู้สึกว่า เดินทางคืนนี้ไม่พบเสือโคร่งสักตัวเลย หรือว่าอากาศเย็นเสือโคร่งหรือสัตว์ป่าไม่ชอบ

ท่านก็เลยตัดสินใจปักกลดนั่งภาวนาอยู่ตรงนั้น บรรยากาศในป่าคืนนี้เงียบสงัดวังเวงชอบกล อากาศก็หนาวเย็นเข้าจับขั้วหัวใจมาก

พอท่านนั่งสมาธิไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมง แล้วได้ยินเสียงคนกล่อมลูกนอนเป็นสำเนียงภาษาลาวว่า "นอนสาละหลับตาแม่ซิกล่อม นอนตื่นแล้วลูกแก้วจังกินนม แม่ไปไฮ้ซีเอาไก่มาหา แม่ไปนาซิเอาปลามาป้อน เอย เฮะ เออ"

พระหนุ่มก็รู้ทันทีว่าตัวเอง ขณะนี้ได้เดินทางเข้ามาอยู่ในเขตประเทศลาวแล้วโดยไม่รู้สึกตัวตั้งแต่แรก

ท่านก็เลยแผ่เมตตา "ขอทางแม่พระธรณี ที่อยู่ในสถานที่นั้นตลอดทั้งเจ้าป่าเจ้าเขาที่เดินเหยียบย่ำเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน เพราะคืนนี้อาตมาภาพเดินเพลินไปหน่อย "

พอตอนเช้ามืดเวลาประมาณ ๓-๔ นาฬิกา พระหนุ่มได้ยินแต่เสียงเด็กร้องไห้และเป็นเสียงผู้หญิงพูดเสียงดังมากจนท่านคิดว่าอยู่ห่างประมาณ ๑๐ เมตร ท่านก็เข้าสมาธิไม่ยอมออกจากสมาธิ จนเห็นเป็นเมฆหมอกควันขาวไปหมดทั้งขุนเขาน้ำค้างก็ลงแรง แต่เสียงเด็กทั้งหัวเราะและร้องไห้เหมือนอยู่ในบ้านกันหลายคน

ท่านก็แปลกใจว่าในป่าลึกอย่างนี้ยังมีบ้านคนอยู่อีกหรือ หรือพระหนุ่มเห็นเงาลางๆตะคุ่มๆอยู่หลังต้นไม้ใหญ่สูงประมาณ ๓๐ เมตร มีขนาดลำต้นใหญ่ประมาณ ๕ คนโอบ และข้างหลังต้นใหญ่ ๖-๗ ต้นเป็นหน้าผาสูงมาก

ถ้าเดินกลางคืนไม่สามารถมองเห็นว่าเป็นภูเขา เพราะต้นไม้ทั้งต้นเล็กและใหญ่ปกคลุมหนาทึบจนไม่สามารถมองเห็น

พระภิกษุหนุ่มก็นั่งอยู่ในกลดสวดมนต์ทำวัตรเช้าเจริญจิตตภาวนา แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั่วๆไป ตลอดทั้งมนุษย์และคนธรรพ์พิทยาธรตลอดทั้งเจ้าป่าเจ้าเขา

เสร็จแล้วก็คอยๆมองดูสิ่งรอบๆข้างสำรวจดูให้แน่ใจก่อนว่ามีอะไรบ้าง  แล้วค่อยๆออกจากกลดมามองดูข้างนอกอีกทีนึง  เพื่อให้เกิดความไม่ประมาทว่ามีสัตว์ร้ายนั่งรอจังหวะจะตะคุ่มเหยื่อหาอาหารอันโอชะอยู่หรือเปล่า

เมื่อทุกอย่างดูเป็นปกติพระภิกษุหนุ่มก็จัดเตรียมบาตรเพื่อที่จะออกบิณฑบาตตลอดทั้งสัมภาระต่างๆมีกลดมุ้ง และของใช้จำเป็นอื่นๆสำหรับใช้ธุดงค์ แล้วก็สะพายไปด้วย เพราะจะไม่ย้อนกลับมาที่เดิมอีกจะไปข้างหน้าอย่างเดียว


บิณฑบาตในป่า

 
เมื่อท่านเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ท่านก็อธิษฐานบาตรก่อนออกบิณฑบาตเป็นปกติทุกๆครั้งที่จะบิณฑบาต ท่านก็เดินผ่านต้นไม้ใหญ่กลุ่มนั้นไปสักพักหนึ่ง ได้ยินเสียงพูดว่า "นิมนต์โปรด"

พระภิกษุหนุ่มได้ยินก็หันไปมอง เห็นโยมผู้หญิงใส่ชุดขาวยาวยืนถือของสำหรับใส่บาตรอยู่คนหนึ่ง ท่านก็ยืนรอรับด้วยอาการสงบและจิตใจจดจ่อด้วยอาการเรียบร้อย พอโยมใส่บาตรแล้ว โยมคนนั้นพูดว่าเดินไปแล้วเลี้ยวซ้าย จะมีคนรอใส่บาตรอยู่๓ คน แล้วเขาจะบอกทางท่านเอง

พระภิกษุหนุ่มพอรับบาตรแล้วก็เดินไปตามทางที่โยมผู้หญิงบอก และมีโยมผู้หญิงยืนรออยู่ ๓ คนจริงๆ เมื่อใส่บาตรเขาก็บอกทางให้ตรงไปน้ำตก แล้วเลี้ยวขวา

พอพระภิกษุหนุ่มเดินไปได้พักหนึ่ง ก็หันกลับมาดูโยมที่ใส่บาตรในระยะที่เดินออกไปไม่กี่ก้าว โยมที่ใส่บาตรได้หายไปแล้วพระภิกษุหนุ่มรู้สึกเย็นวูบที่หลังทันที แล้วเดินไปมองกลับมาดูข้างหลังอีกด้วยความสงสัยว่าบ้านที่คนมาใส่บาตรอยู่แถวไหนกันแน่ เดินไปด้วยมองดูไปด้วยไม่เห็นว่ามีบ้านคนสักหลัง อาหารที่บิณฑบาตมาได้อย่างไร ท่านก็ไม่กล้าฉัน

เพราะเคยได้ยินคำเล่าลือกันมานานในกลุ่มพระที่เดินธุดงค์หลงทางเข้ามาในเขตประเทศลาว โดยเฉพาะบริเวณเขตภูเขาควายว่า เคยมีพระภิกษุหลายรูป เมื่อรับอาหารบิณฑบาตฉันแล้วไม่เห็นกลับออกไปจากป่า หายไปเลยตั้งหลายรูป เพราะถูกคนเมืองลับแลจับไป บางรูปที่มีโอกาสกลับออกมา ก็มีอาการแปลกๆ คือเป็นบ้าเสียสติไปเลยก็มีตัวอย่างให้เห็นเยอะ

ดังนั้นด้วยความวิตกกังวลหรือไม่ประมาท ท่านก็เลยไม่ฉันอาหารบิณฑบาตนั้น ท่านก็เอาอาหารบิณฑบาตนั้นเทใส่โคนต้นไม้ใหญ่พร้อมกับพูดว่า อาหารนี้อาตมาไม่ฉัน ขอจงให้ผู้ใส่บาตรจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด

พอเทอาหารก็ได้กลิ่นอาหารที่น่าฉันมากๆ ท่านก็นั่งสวดมนต์แผ่เมตตาอยู่ตรงนั้น

พอกำลังจะลุกขึ้นเดิน ตาของท่านเหลือบมองไปเห็นมดแดงที่มากินอาหาร นอนหลับกองกันอยู่เป็นจำนวนมาก

ท่านก็ตกใจว่ามดเหล่านั้นตายเพราะท่าน ท่านก็เลยขออโหสิกรรมต่อมดเหล่านั้นแล้วสวดมนต์มาติกาบังสุกุลให้มดเหล่านั้น

ความไม่โลภไม่เห็นแก่กิน ทำให้ชีวิตรอดปลอดภัยไปได้เสี้ยววินาที ความโลภไม่มีสติทำให้เกิดทุกข์ภายหลัง พระภิกษุหนุ่มก็พยายามที่จะเดินออกจากแนวภูเขาที่สูงและยาวเทือกนั้น เดินอยู่ทั้งวันก็วนกลับมาที่เดิมอีกหลายต่อหลายรอบเลยทีเดียว

ท่านก็เลยหยุดนั่งพักตั้งสติสำรวจจิตอีกครั้งพร้อมกับอธิษฐานบอกแม่นางธรณีเจ้าป่าเจ้าเขา และบุญกุศลบารมีที่ได้สร้างมาให้เห็นทางเดินของมนุษย์และพระธุดงค์ด้วยเถิด สวดมนต์บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๑๐๙ จบแล้วก็เดินต่อไปใหม่


พบสามเณรคำ

 

     ครั้นท่านเดินไปสักระยะหนึ่งก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งอายุประมาณ ๘๐-๙๐ กว่า ยืนดักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พอพระภิกษุหนุ่มเดินเข้าไปใกล้พระภิกษุแก่รูปนั้นเดินตรงมาก้มลงกราบพระหนุ่มท่านก็รีบจับมือพระภิกษุแก่รูปนั้นทันทีแล้วพูดว่า "หลวงปู่อย่ากราบกระผม กระผมเพิ่งบวช ๑๑ พรรษาเท่านั้น"

หลวงปู่รูปนั้นพูดว่า "ผมเป็นเณรครับ" ท่านพูดสำเนียงภาษาลาว

"ผมเป็นสามเณรครับท่านอาจารย์ ผมชื่อสามเณรคำ มาดักรอท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ ๓ วันแล้วครับ ท่านอาจารย์ยังไม่ได้ฉันข้าวมา ๕ วันแล้ว ผมมีอาหารมาถวายอาจารย์ ผมขอใส่บาตรอาจารย์ครับ  ผมอยากได้บุญนำอาจารย์" สามเณรพูดเป็นภาษาลาว

พระภิกษุหนุ่มก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่สามเณรที่ภูเขาควายมาบ้างเหมือนกัน ท่านก็รู้สึกดีใจ แต่ไม่กล้าแสดงออก

พระภิกษุหนุ่มจึงนั่งสนทนาธรรมกับสามเณรว่า "ผมอยู่ในป่าที่ผ่านมา ๕ วัน ผมไม่ได้ยินเสียงลมพัดต้นไม้สักนิดเลย"

สามเณรพูดขึ้นว่า"ที่ท่านครูบาย่างผ่านมา ๕ มื้อรอดออกมาได้เป็นบุญตัวครูบา ป่านั้นเขาลูกนั้น ถ้าบ่ตายก็เป็นบ้า เขาเอ่อว่า เมืองเขาลับแลแม่จงอาง (คนเขาเรียกว่า เขาลับแลแม่จงอางใหญ่) ส่วนมากบ่อมีผู้ใดรอดออกมาได้เกิน ๓ มื้อ"

พอสนทนากันได้พักหนึ่งก็ต้องแยกทางกันเดินต่อตามหน้าที่และนัดพบกันที่ถ้ำฤๅษี ๑๐๐ ตน พระภิกษุหนุ่มไม่รู้ทางเลย สามเณรว่าถ้ำนี้อยู่ช่วงไหน

หลวงปู่เณรคำ บอกว่า "เดินไปตามร่องน้ำนี้ ถ้าครูบาเดินธรรมดา ๗ มื้อก็ฮอด ถ้าเดินเร็วๆบ่อพัก ๓-๔ มื้อก็ฮอด"

การเดินธุดงค์เดินข้างริมแม่น้ำลำธารก็จะเดินง่าย สำหรับผู้ที่เคยเดิน เพราะอาศัยทางของสัตว์ที่หากินตามริมตลิ่ง อาจจะสูงขึ้น ถ้ำที่นั้นเป็นภูเขา เหมือนเราเดินทางเอียงๆ ประมาณ ๔๕-๕๐ องศา พร้อมกับสะพายบาตรและกลด

บางครั้งเดินข้างตลิ่งพังลงต้องระมัดระวัง ตั้งสติตลอดเวลามากกว่าการเดินจงกรมเป็น ๑๐ เท่า เพราะถ้าตกลงไปนอนในแม่น้ำลำธารทันที ดีหน่อยถ้าไม่ถูกไม้หรือหนามเสียบพุง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

ตอนที่ ๑ ศิษย์เอกหลวงปู่พิมพา

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381886

 

ตอนที่ ๒ ความลี้ลับแห่งขุนเขา

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381897

 

ตอนที่ ๓ กัมมัฏฐานหลวงปู่มั่น

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381914

 

ตอนที่ ๔ ผจญพญาเสือโคร่ง

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381925

 

หมายเลขบันทึก: 381975เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2010 13:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 21:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท