ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 7(หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง)-ปัจจุบัน
…………………….
1. การพัฒนาปรับปรุงด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี
ประเทศไทยเราในยุคใหม่นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้วนี้ ก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้านวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีอยู่เนืองๆ ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสมแก่สภาวการณ์ในปัจจุบันและเพื่อให้ชาติไทยเรา สามารถดำรงอยู่ในสังคมนานาชาติด้วยดี วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสรุปได้ดังนี้
1. การแต่งกาย
- พ.ศ.2475 รัฐบาลได้ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน โดยให้เปลี่ยนมานุ่งกางเกงขายาวตามแบบฝรั่ง แต่ยังไม่เป็นการบังคับ คงผ่อนผันให้ข้าราชการนุ่งผ้าม่วงได้บ้าง
- พ.ศ.2478 รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติการแต่งกายข้าราชการพลเรือนออกมาบังคับใช้ โดยให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนอย่างเด็ดขาด และได้กำหนดเครื่องแบบการแต่งกายของข้าราชการพลเรือนขึ้นใหม่เป็นแบบสากล ดังที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
2. พ.ศ.2476 เลิกพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
3. วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2482 รัฐบาลไทยได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "ประเทศสยาม" มาเป็น "ประเทศไทย"
4. รัฐบาลได้ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม ตามแบบสากล เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484
5. พ.ศ.2484 รัฐบาลประกาศห้ามราษฎรนุ่งโจงกระเบน
6. พ.ศ.2484 รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศเลิกใช้บรรดาศักดิ์ของข้าราชการ เช่น ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีการปกครองแบบประฃชาธิปไตย แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่มาเป็นนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการนำเอาบรรดาศักดิ์กลับมาใช้อีก เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2487
7. พ.ศ.2484 รัฐบาลมีคำสั่งห้ามราษฎรกินหมาก และบังคับให้ราษฎรทุกคนต้องสวมหมวกเวลาออกนอกบ้าน ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดต้องถูกปรับ
8. พ.ศ.2483 รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตราพระราชบัญญัติบำรุงวัฒนธรรมแห่งชาติ และได้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ฉบับนี้ใหม่เมื่อปี พ.ศ.2485 โดยมีการตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ปรับปรุง บำรุง และส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติไทย กิจกรรมต่างๆ ในการฟื้นฟูและปรับปรุงวัฒนธรรมไทยเท่าที่ได้ดำเนินไปในครั้งนั้นได้แก่
- วัฒนธรรมเกี่ยวกับการแต่งกาย เช่น การแต่งกายไว้ทุกข์ในงานศพ
- วัฒนธรรมเกี่ยวกับครอบครัว ได้แก่ กำหนดการพิธีสมรสของคนไทย
- วัฒนธรรมเกี่ยวกับการนบริโภค ได้แก่ การวางระเบียบการบริโภคอาหาร การใชช้อนส้อมเป็นเครื่องมือรับประธานอาหาร
- วัฒนธรรมเกี่ยวกับสังคม ได้มีการประกาศห้ามบ้วนน้ำลาบ น้ำหมากลงบนถนนหลวง หรือสาธารณสถาน มารยาทในการโดยสารรถประจำทาง
9. การฟื้นฟูขนบธรรมเนียมไทยในปัจจุบัน
ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญของชาติหลายอย่าง เช่น
- ได้ฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในวันพืชมงคลทุกปี ซึ่งพิธีนี้ได้เลิกร้างไปเกือบ 30 ปี กลับมีขึ้นใหม่เป็นประจำทุกปี ณ ท้องสนามหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา
- ฟื้นฟูพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา จัดให้มีพิธีเสด็จพระราชดำเนินตรวจพลสวนสนามของนายทหารรักษาพระองค์ขึ้น ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ตามอาคารบ้านเรือนให้มีการตกแต่งโคมไฟและประดับธง ให้ถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันชาติไทย เลิกถือเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ เริ่มปฏิบัติตั้งแต่ พ.ศ.2503
- พ.ศ.2504 ได้รื้อฟื้นพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค อันเป็นกระบวนแห่ทางเรือตามโบราณราชประเพณี
- พ.ศ.2523 ได้มีการอนุมัติให้ใช้แบบเสื้อพระราชทาน (ชุดไทย) แทนชุดสากลได้ โดยมีแบบและโอกาสสวมใส่ดังนี้
ก. ชุดไทยแขนสั้น โดยใช้สีเรียบจาง ลวดลายสุภาพ ใช้ได้ในโอกาสธรรมดาทั่วไป หรือในการปฏิบัติงาน หรือใช้ในพิธีการกลางวันและอาจใช้สีเข้มในพิธีการตอนกลางคืน
ข. ชุดไทยแขนยาว ใช้สีเรียบจางมีลวดลายสุภาพ ใช้ในโอกาสพิธีกลางวัน และใช้สีเข้มในโอกาสพิธีกลางคืน
ค. ชุดไทยแขนยาวคาดเอว ใช้ในโอกาสพิธีการที่สำคัญมากๆ
ง. ในพิธีงานศพใช้เสื้อแขนสั้นหรือแขนยาว กางเกงสีดำหรือสีขาวทั้งชุด หรือสีดำทั้งชุด ไม่ติดแขนทุกข์
------------------------------------
จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ประเพณีของไทยมีผลต่อการดำรงอยู่ในสังคมนานาชาติด้วยดีอย่างไร
2. นักเรียนคิดว่า วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีใด ที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแล้ว
ทำให้คนไทยเกิดความภาคภูมิใจมากที่สุด เพราะอะไร
2. การพัฒนาด้านการศึกษา
ภายหลังที่ได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยแต่ละคณะ ต่างก็ได้พยายามทำนุบำรุงและพัฒนาการศึกษาตลอดมา และได้มีการประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาด้านการศึกษาขึ้น นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ได้มีการใช้แผนการศึกษาแห่งชาติมาแล้ว 6 ฉบับคือ
1. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2475 ในแผนการศึกษาฉบับนี้เน้นให้การศึกษา 3 ส่วน คือ จริยศึกษา เป็นการอบรมศีลธรรมอันดีงาม พุทธิศึกษา ให้ปัญญาความรู้ และพลศึกษา เป็นการฝึกหัดให้เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์
2. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2479 แผนการศึกษาฉบับนี้ได้ปรับปรุงมาจากแผน ปี พ.ศ.2475 โดยปรับปรุงให้เหมาะสมกับกาลสมัยมากขึ้น แต่ยังคงเน้นให้การศึกษาทั้ง 3 ด้าน
3. แผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2494 ในแผนนี้ได้เพิ่ม หัตถกรรม คือการฝึกหัดอาชีพและการประกอบอาชีพเข้ามาอีกรวมเป็น 4 ส่วน และได้มีการกล่าวถึงการศึกษาพิเศษและการศึกษาผู้ใหญ่ด้วย
4. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2503 แผนนี้ได้นำเอาแผนการศึกษาชาติ พ.ศ.2494 มาปรับปรุงใหม่ เพื่อสนองความต้องการของสังคมและบุคคล โดยให้สอดคล้องกับการปกครองประเทศ จัดเน้นให้การศึกษา 4 ส่วน และได้จัดระบบการศึกษา เป็น 7:3:2 (ประถม 7 ปี มัธยมต้น 3 ปี มัธยมปลาย 2 ปี)
5. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2520 ในแผนนี้ต้องการปรับปรุงแผนการศึกษาให้สนองความต้องการและการเปลี่ยนแปลงในสังคม เพื่อสามารถอบรมพลเมืองให้ตระหนักและเห็นคุณค่าของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จัดระบบการศึกษาเป็น 6:3:3 โดยได้ลดชั้นประถมลง 1 ปี และเพิ่มชั้นมัธยมปลาย 1 ปี แต่เวลาเรียนยังเป็น 12 ปี เท่ากับแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2503
6. แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2535 แผนนี้ได้ปรับปรุงมาจากแผนการศึกษา พ.ศ.2520 เพื่อให้ระบบการศึกษาสนองตอบความต้องการและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว และสร้างความสมดุลในการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดการศึกษาในระบบ 6:3:3
ในปี 2542 รัฐสภาได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาฉบับหนึ่งมีชื่อเรียกว่า "พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542" นับได้ว่าเป็น กฎหมายฉบับแรกเกี่ยวกับการศึกษาไทย มีทั้งหมด 9 หมวด 1 บทเฉพาะกาล คือ หมวดที่ 1 บททั่วไป ความมุ่งหมายและหลักการ หมวดที่ 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา หมวดที่ 3 ระบบการศึกษา หมวดที่ 4 แนวการจัดการศึกษา หมวดที่ 5 การบริหารและการจัดการศึกษา หมวดที่ 6 มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา หมวดที่ 7 ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา หมวดที่ 8 ทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา หมวดที่ 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และบทเฉพาะกาล
การจัดการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 นี้ยึดหลักการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน การมีส่วนร่วมของสังคม และการพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
ระบบการศึกษา การจัดการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 นี้ มี 3 รูปแบบ คือ
- การศึกษาในระบบ มีจุดมุ่งหมาย วิธีการ หลักสูตร ระยะเวลาการจัด และประเมินผลที่ชัดเจนแน่นอน
- การศึกษานอกระบบ ยืดหยุ่นในจุดมุ่งหมาย วิธีการ และระยะเวลา ส่วนหลักสูตร การวัดและประเมินผลมีความชัดเจนแน่นอน
- การศึกษาตามอัธยาศัย จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพตามความพร้อมและโอกาส
การศึกษาในระบบ มี 2 ระดับ คือ
- การศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นการที่รัฐจัดการศึกษาให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
- การศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นการศึกษาที่จัดหลังการศึกษาขั้นพื้นฐาน แบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญา
การจัดการศึกษาภาคบังคับ กำหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่ 7 เข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จนย่างเข้าปีที่ 16 เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สถานศึกษาที่จัดการศึกษาจำแนกได้ดังนี้คือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน แบ่งออกเป็น สถาน
พัฒนาเด็กเด็กปฐมวัย โรงเรียนและศูนย์การเรียน การศึกษาระดับอุดมศึกษา ประกอบด้วย มหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น การศึกษาเฉพาะทาง เช่น โรงเรียนทหาร ตำรวจ พยาบาล เป็นต้น
ในการจัดการศึกษานั้นถือหลักผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด การจัดการศึกษาต้องเน้นความรู้ คุณธรรม การประเมินผลให้สถานศึกษาจัดประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจาก พัฒนาการของผู้เรียน สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและทดสอบควบคู่กัน
การบริหารและการจัดการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของรัฐ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และของเอกชน
จงตอบคำถามต่อไปนี้
3. กฎหมายและการศาล
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 กฎหมายและการศาลของไทยได้มีการพัฒนาและปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น ด้านกฎหมายเรามีประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ และวิธีพิจารณาคดีที่ใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนสืบพยานที่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทย์และจำเลย ในสมัยรัชกาลที่ 8 ไทยเราสามารถยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ได้สำเร็จโดยสิ้นเชิง
- พ.ศ.2475 ได้แบ่งศาลออกเป็น 2 แผนกคือ ศาลสถิตยุติธรรมกรุงเทพ ประกอบด้วยศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลพระราชอาญา ศาลแพ่ง ศาลคดีต่างประเทศ ศาลโปลิสสภา และศาลหัวเมือง ประกอบด้วย ศาลมณฑล ศาลจังหวัด และศาลแขวง
- พ.ศ.2476 มีพระราชบัญญัติยุบเลิกมณฑล ได้กำหนดจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น จังหวัด อำเภอ จึงได้มีการเลิกศาลมณฑลด้วย ให้ศาลมณฑลเดิมเป็นศาลจังหวัด
- พ.ศ.2478 ได้แบ่งศาลยุติธรรมเป็น 3 ชั้น คือ
1. ศาลชั้นต้น
2. ศาลอุทธรณ์
3. ศาลฎีกา
- พ.ศ.2494 ได้จัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนขึ้นในกรุงเทพและต่างจังหวัด เช่นที่สงขลาและอุบลราชธานี ศาลคดีเด็กและเยาวชนจัดอยู่ในศาลชั้นต้น
- พ.ศ.2520 ได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งธนบุรี และศาลอาญาธนบุรี เพื่อพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในเขตจังหวัดธนบุรีเดิม จัดเป็นศาลชั้นต้นสำหรับกรุงเทพ
- พ.ศ.2523 ได้จัดตั้งศาลแรงงานกลางขึ้นในกรุงเทพ
เขตอำนาจและอำนาจในการพิจารณาพิพากษาของศาลต่างๆ มีดังนี้
1. ศาลชั้นต้น เป็นศาลที่รับฟ้องชั้นเริ่มคดี ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีล้มละลาย เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ แบ่งเป็น
1.1 ศาลแขวง ปัจจุบันศาลแขวงมีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 40,000 บาท และคดีอาญา ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท
1.2 ศาลจังหวัด ปัจจุบันศาลจังหวัดมีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง คดีอาญา ทั้งปวงในเขตศาลมีอยู่ทุกจังหวัด
1.3 ศาลแพ่ง ปัจจุบันศาลแพ่งมีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงในเขตศาล ประกอบด้วย ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี
1.4 ศาลอาญา ปัจจุบันศาลอาญามีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวงในเขตศาล ประกอบด้วยศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี
1.5 ศาลเยาวชนและครอบครัว ปัจจุบันศาลเยาวชนและครอบครัวมีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ผู้กระทำความผิดเป็นเด็กหรือเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปี คดีแพ่งที่เกี่ยวกับผู้เยาว์และครอบครัว ประกอบด้วย ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด และศาลจังหวัดแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
1.6 ศาลแรงงาน พิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับแรงงาน
1.7 ศาลภาษีอากร พิจารณาคดีแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีอากร
1.8 ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาอันเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
1.9 ศาลล้มละลาย พิจารณาพิพากษาคดีล้มละลาย
1.10 ศาลทหาร เป็นศาลอีกประเภทหนึ่ง สังกัดอยู่ในกระทรวงกลาโหม มี 3 ชั้นคือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารกลาง และศาลทหารสูงสุด มีอำนาจชำระคดีอาญาที่ทหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับราชการทหารเป็นจำเลย แต่ไม่มีอำนาจชำระคดีแพ่ง
2. ศาลอุทธรณ์ พิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มี 10 แห่ง ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 1-9
3. ศาลฎีกา เป็นศาลสูงสุดมีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่ฎีกาคำสั่งหรือคำพิพากาาของศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค หรือคดีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
การอุทธรณ์หรือฎีกา
1. เมื่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว ถ้าเป็นคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือต้องห้ามฎีกาโจทก์จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาดปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา โดยยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์แล้วแต่กรณีให้จำเลยฟัง
2. กรณีจำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ จำเลยอาจนำอุทธรณ์หรือฎีกายื่นต่อพัศดีภายในกำหนด 1 เดือนดังกล่าวก็ได้
3. กรณีที่โจทก์อุทธรณ์หรือฎีกา เมื่อจำเลยได้รับสำเนาอุทธรณ์หรือสำเนาฎีกาของโจทก์แล้วจำเลยจะแก้อุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่ก็ได้ หากจะแก้ต้องแก้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันรับสำเนาอุทธรณ์หรือฎีกา
4. เมื่อศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก หรือกักขังจำเลย จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้
ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาชั้นศาล
ผู้ต้องหา คือผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดแต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล
จำเลย คือบุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้วเมื่อตำรวจและพนักงานอัยการหมดอำนาจควบคุมผู้ต้องหาแล้วจะต้องยำผู้ต้องหามาขออำนาจควบคุมต่อศาลที่เรียกว่า "ผัดฟ้องหรือฝากขัง"
การผัดฟ้องและฝากขังในศาลอาญาหรือศาลจังหวัด
1. ถ้าผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่และพนักงานสอบสวนไม่อาจสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน พนักงานสอบสวนต้องส่งผู้ต้องหามาศาล และพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการอาจยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ขังผู้ต้องหาไว้ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า "ฝากขัง"
ในกรณีความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูง ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลสั่งขังได้ครั้งเดียวมีกำหนดไม่เกิน 7 วัน แต่ถ้าอัตราโทษเกินกว่านี้ ศาลสั่งขังได้หลายครั้งติดๆ กัน ครั้งหนึ่งไม่เกิน 12 วัน รวมทั้งหมดไม่เกิน 48 วัน เว้นแต่ความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ศาลสั่งขังได้รวมทั้งหมดไม่เกิน 84 วัน
2. ในกรณีจังหวัดใดไม่มีศาลแขวง และศาลจังหวัดนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้ยังคับ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการจะต้องขอผัดฟ้องและฝากขังผู้ต้องหาในคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติในศาลแขวงคือ ถ้าไม่อาจฟ้องผู้ต้องหาภายใน 48 ชั่วโมง พนักงานอัยการต้องนำตัวผู้ต้องหามาศาลและยื่นคำร้องของฝากขังและผลัดฟ้องต่อศาล ศาลอนุญาตได้ไม่เกิน 5 คราวๆ ละ ไม่เกิน 6 วัน
การผัดฟ้องในศาลเยาวชนและครอบครัว
เมื่อเด็กหรือเยาวชนที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี กระทำความผิดอาญาและเป็นกรณีที่จะต้องขึ้นศาลเยาวชนและครอบครัว พนักงานสอบสวนจะต้องสอบปากคำเด็กหรือเยาวชนให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่เด็กหรือเยาวชนมาถึงสถานที่ทำการของพนักงานสอบสวน แล้วส่งตัวเด็กหรือเยาวชนนั้นไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พนักงานอัยการจะต้องฟ้องศาลภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันจับกุม หากฟ้องไม่ทันจะต้องจะต้องยื่นคำร้องขอผัดฟ้อง ศาลจะอนุญาตได้ไม่เกิน 2 คราว คราวละไม่เกิน 15 วัน เว้นแต่คดีมีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป หรือโทษสถานหนักกว่านั้น ศาลอนุญาตให้ผัดฟ้องได้อีก 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 15 วัน
จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. นักเรียนคิดว่ามีเหตุผลใดที่ต้องมีการแบ่งศาลยุติธรรมเป็น 3 ชั้น คือศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา จงอธิบายและยกเหตุผลประกอบให้ชัดเจน
2. จงอธิบายคำจำกัดความของคำต่อไปนี้ "ผัดฟ้อง" และ "ฝากขัง"
**ข้อมูลเพิ่มเติม**
*เศรษฐกิจ สังคมศาสนาสมัย ร.1-ร.3*
คลิกอ่านได้ครับ
*ศิลปกรรมและความสัมพันต่างประเทศสมัย ร.1-ร.3*
คลิกอ่านได้ครับ
*การศึกษาและการเลิกทาส สมัย ร.4-ร.5*
คลิกอ่านได้ครับ
*กฎหมายเศรษฐกิจการศาลสมัย ร.4-ร.7*
คลิกอ่านได้ครับ
*ประวัติศาสตร์สมัยร.7-ปัจจุบัน(การปกครอง)*
คลิกอ่านได้ครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากเลยคับ มีปรโยชน์ต่อการทำรายงานของผมมากเลยครับ ถ้ามีข้อมูลใหม่ๆๆก็นำมาโพสถ์ด้วยนะคับ
ขอบตุณครับที่ให้ข้อคิดเห็น
ละเอียดดีอ่านเข้าใจง่ายครับ