สถานการณ์ช่วงนี้ทำให้ผมนึกถึง ข้อเขียนของท่านชุติปัญโญ เรื่อง "ไม่ว่าเราจะเคยเป็นอะไร สุดท้ายก็แค่นั้น" ... อ้างจากหนังสือ ชื่อ "ความสุขที่หายไป ตามกลับคืนได้หรือยัง ?"
**********************************************************************
การเกิดมาของคนเรามักพ่วงมาด้วยความคาดหวังว่า ชีวิตจะดีขึ้น ทุกความคิดและการกระทำจึงทุ่มเต็มที่กับสิ่งที่หมายปองนั้น เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์ที่เคลือบด้วยความฝันของคนเราอยู่มิขาดสาย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็ฟ้องให้รู้ว่า ทุกสิ่งที่ได้มาย่อมแตกต่างกันออกไป อยู่ที่ว่าใครจะมีวิธีเกี่ยวข้องกับสิ่งที่แสวงหานั้นอย่างไร
แต่ผู้อ่านเชื่อไหมว่า ขณะที่วิ่งตามสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เรามีความสุขสุดแรงเกิดขึ้นนั้น มักมีสิ่งที่คอยชะลอการเติบโตของความสมหวังเสมอ นั่นก็คือ "ความไม่แน่นอน" ซึ่งเป็นตัวแปรที่ทำให้เราสมหวังและผิดหวังในคราเดียวกัน ขึ้นอยู่ที่จังหวะที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น
แต่ก็น่าแปลกใจที่ดูเหมือนว่า เรากลับไม่เคยสนใจความไม่แน่นอนนั้น จึงตะบึงไปตามความฝันด้วยความหวังที่เกินร้อยจนลืมเผื่อใจเจ็บเวลาที่พลาดจากเป้าหมายที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ จึงได้เห็นคนที่เจ็บตัวและเจ็บใจเพราะการแสวงหาสิ่งที่คิดว่า ดีที่สุดสำหรับตัวเองอยู่เรื่อยมา
แม้ความจริงของธรรมชาติจะฟ้องว่า ชีวิตของคนเรานั้นไม่ว่าจะเคยเป็นอะไรมา เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรืออาจจะล้มถึงบาดเจ็บปางตาย สุดท้ายสิ่งที่ได้สัมผัสมาก็แค่นั้นเอง ทุกคนล้วนต้องยุติบทบาทสมมุติที่ได้มาด้วยการจบลงที่ความตาย แต่คนเรากลับใช้ชีวิตประหนึ่งว่าจะไม่จากกันในชาตินี้
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าทุกชีวิตเกิดมาต้องตายและมีจุดจบในตัวของมันเอง แต่นั่นอาจเป็นเพียงความรู้สึกที่เป็นความคิดเท่านั้น ไม่ใช่ความเข้าใจจากการตระหนักรู้ที่เกิดจากปัญญา จึงทำให้เราประมาทที่จะใส่ใจกับคุณค่าและสาระที่ชีวิตพึงจะมี
เพราะเรามักคิดรวบยอดกับชีวิตของตัวเองว่า "คงไม่ตายง่าย ๆ หรอก" ด้วยคำกล่าวเพียงสั้น ๆ นี้ เราจะยอมแลกชีวิตที่เหลืออยู่บนเส้นทางของความประมาท ยึดติดอยู่กับวัตถุที่ไร้ความรู้สึก หลงอยู่กับความลวงของชื่อเสียงที่ได้มา โดยลืมไปว่าเมื่อถึงวันหนึ่งของชีวิต ทรัพย์ภายนอกที่มีและชื่อเสียงจอมปลอมที่ได้มา ก็มิสามารถพาไปสู่ความสุขที่แท้จริงได้
ลองสำรวจชีวิตของเรากับพระพุทธเจ้า แล้วไตร่ตรองถึงความแตกต่างระหว่างคุณค่าในชีวิตของพระองค์และตัวเรา พระพุทธองค์กับเรามีกายเนื้อและจิตใจเช่นเดียวกัน เสมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไรที่แตกต่างกันในแง่ของรูปกายสังขาร
ถ้าพระองค์เป็นแต่เพียงเจ้าชายนามว่า สิทธัตถะ และอยู่เสวยสุขแต่ในวังเพียงอย่างเดียว ประวัติศาสตร์ที่เราได้รู้จักก็คงเป็นเพียงเรื่องเล่าของเจ้าชายพระองค์หนึ่งที่ครองนครในประเทศอินเดียเท่านั้น แต่เพราะพระพุทธองค์คิดนอกกรอบ คิดไม่เหมือนใครอื่น แต่เป็นไปเพื่อการสลัดตัวเองให้หลุดจากวิถีเดิม ๆ ที่ต้องจมอยู่กับความรักและชัง เพื่อค้นหาคุณค่าของชีวิตที่น่าจะมีอะไรดี ๆ ซ่อนอยู่
สุดท้ายสิ่งที่พระองค์ประสบจึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งชีวิตที่เราไม่อาจลืมได้ แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานเพียงใด รอยจารึกคุณค่าของพระองค์ก็ยังประทับอยู่ในใจผองชนตลอดมา นั่นคือประวัติศาสตร์การกำเนิดชีวิตของพระองค์ และกาลเวลาที่ทรงคุณค่าอย่างแท้จริง
เมื่อหันกลับมามองชีวิตของเราเองล่ะ เช้าและเย็นที่กาลเวลาพัดผ่านมา ชีวิตเราเรียนรู้อะไรที่เป็นแก่นสารบ้างหรือยัง ? นอกจากความคิดที่ว่าวันนี้ได้มามากเท่าไร มีอะไรที่สมอยากทางความรู้สึกของตัวเองบ้าง ถ้าค้นหาคุณค่าของชีวิตได้เพียงแค่นี้ นั่นคือมิติแห่งความมืดบอดท่ามกลางดวงตาที่มองเห็น
แต่ถ้ารู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน ทั้งมิติของการดำรงอยู่ในปัจจุบัน และภาวะด้านในจิตใจที่เราควรมองให้เห็น เราย่อมรู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับวัตถุของโลกอย่างไรจึงจะไร้ปัญหา ทำอย่างไรจิตวิญญาณจึงจะรู้แจ้งความจริงแห่งชีวีที่มีอยู่
เพราะหากเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างรู้เท่าทันย่อมทำให้เรารู้จักใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่า ก่อเป็นความสุขทั้งโลกแห่งวัตถุแบบชาวโลก และมีความสมดุลทางจิตวิญญาณภายในตน เมื่อนั้นชีวิตย่อมสอดคล้องต่อกันอย่างเปี่ยมค่าเสมอ
ดังนั้น เราจึงควรเรียนรู้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ชัดเจนมากขึ้น ต้องรู้จักวิธีรับมือความเปลี่ยนแปลงทางโลกให้เท่าทัน เพื่อจะไม่ถูกประทุษร้ายจนเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ให้เท่าทันจิตวิญญาณาภยในให้แจ่มชัด เพื่อจะได้อยู่กับความรู้สึกของตัวเองอย่างเป็นสุข
เพราะการที่เราสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงมิติของชีวิตทั้งสองด้าน ถือว่าเป็นความฉลาดที่ได้รับการต่อยอดจากชีวิตอีกทีหนึ่งเป็นความกรุณาที่เรารู้จักมอบให้แก่ตัวเอง ด้วยวิธีการเกี่ยวข้องกับชีวิตเช่นนี้ ย่อมทำให้เราก้าวไปสู่บัลลังก์แห่งชัยชนะโดยไม่ต้องให้คนอื่นมายกย่องสรรเสริญอีกต่อไป
ชีวิตเป็นสมบัติอันล้ำค่า เป็นสิ่งที่เราควรทะนุถนอมด้วยความใส่ใจ แม้วันหนึ่งจะยุติลงตามบทบาทสมมุติของโลกก็ตามที แต่เราก็รู้วาได้ฝากอะไรไว้เป็นรอยจารึกในประวัติศาสตร์ของการเกิดนี้
"ไม่ว่าเราจะเคยเป็นอะไร สุดท้ายก็แค่นั้น" จึงเป็นเครื่องหมายคำถามและคำตอบที่ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจให้ถึงแก่นของชีวีที่ได้มา
แล้วเราจะรู้ว่าคำตอบที่ยิ่งใหญ่มักมาจากคำถามที่ใหญ่ยิ่งเสมอ
***********************************************************************
สนใจหรือไม่สนใจ แล้วแต่วิจารณญาณอันลึกซึ้งของตัวเอง ครับ
บุญรักษา :)
สวัสดีครับอาจารย์
....เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรืออาจจะล้มถึงบาดเจ็บปางตาย สุดท้ายสิ่งที่ได้สัมผัสมาก็ แค่นั้นเอง....
"ไม่ว่าเราจะเคยเป็นอะไร สุดท้ายก็แค่นั้น"
สวัสดีค่ะอาจารย์ กว่าจะเข้าใจก็ใช้เวลาวนเวียนโง่อยู่เสียนาน หากไม่ได้มาศึกษาธรรมะแบบลงมือปฏิบัติคงไม่สามารถเข้ใจมาจากข้างในได้เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
เป็นเช่นนั้นเองจริงๆๆ ธรรมะที่ลึกซึ้งครับ สาธุๆๆๆๆ
กะว่าจะรอให้ถึงสามปี วันเวลาก็ผ่านไปนานเหลือเกิน งั้นเข้ามาอ่านเลยดีกว่าค่ะ
...............................
อ่านแล้วยังคิดดังเดิมว่า ไม่ว่าเราจะเหลือเวลาของชีวิตอีกยาวนานหรือสั้นแค่ไหน
ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาท สถานนะ อย่างไร ใหญ่โตหรือต่ำต้อยติดดิน
สิ่งที่ควรทำ เร่งทำ ทำอย่างต่อเนื่อง คือความดี
ขอบคุณค่ะ
วันนี้เหนื่อยจังค่ะ เสกลูกกรอกออนไลน์ไปแล้ว คงอ่านยากกว่าที่เคยค่ะ ค่อยๆอ่านไปนะคะ ยาวหน่อยคราวนี้ ฝากดูแลบ้านด้วยเน้อ อ้ายเน้อ กินข้าวกันป่ะ
รอคอยการกลับมาอ่านครับ คุณ ครูข้างถนน :)
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ คุณนายดอกเตอร์
ขอบพระคุณอาจารย์ครับ บ้านอาจารย์สวยมาก ๆ ผมแอบเห็น :)
ขออนุโมทนาธรรมครับ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง :)
ขอบคุณครับ พี่แจ๋ว jaewjingjing ... ที่ไม่น้อยใจผมไปสามปี
ความดีทำยากครับ ความชั่วความเลวทำง่าย ...
ขอบคุณครับ :)
หัวใจไม่มีใครจอง .. ยังต้องมาเฝ้าบ้านให้อีกอ่ะน่ะ น้องหมออ๋อขา :) อิ อิ .... สู้ ๆ
สวัสดี คุณWasawat Deemarn
มาอ่านบันทึกของคุณWasawat Deemarn ครับ
ชีวิตคนเราน่าจะเป็นดั่งเช่นผีเสื้อ น่ะครับ เกิดมาชมโลก ชีวิต แม้เพียงช่วงสั้น น่าจะมีความหมายมากกว่าที่จะยืนยาวเป็นมนุษย์ดีไหมครับ
คุณWasawat Deemarn เคยอ่านงานเขียน สายลมแสงแดด ของ วิลาศ มณีวัต หรือเปล่าครับ เป็นหนังสือความเรียงข้อคิดแทรกปรัชญาชีวิต อุทาหรณ์ดี อ่านเพลิดด้วยครับ
เย็นนี้ ผมพึ่งไปเสถียรธรรมสถานมาครับ สงบ ร่มรื่น ทำให้จิตใจสงบ ร่มเย็นใจ ครับ
รักษาสุขภาพด้วยครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ทวิช :)
รักษาสุขภาพเช่นกันนะครับ อาจารย์ :)
ขอบคุณค่ะ อาจารย์
สุดท้ายก็แค่นั้น สั้นๆ แล้วจะดิ้นรนอะไรไปมากมายใครอยากได้ อยากจะแย่งก้เอาไปเลย เอาไปเถอะถ้าอยากได้... อย่ามาชวนเราด้วยเลยนะ เหนื่อยแล้ว ขออยู่เฉยบ้าง ไปเรื่อยๆ บ้าง ก็เราเห็นเป้าหมายปลายทางของเราแล้ว..
ขอบคุณนะคะ เคยร่วมงานกับพี่ปิ๊กเวียงด้วยเหรอคะ
อ้อ ก๋วยเตี๋ยวลีลานะค่ะ แวะไปอุดหนุนบ้างนะคะ ใกล้ ๆ ที่ทำงานเอง...
สวัสดีครับ พี่หม่อม ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี
ขอบคุณครับ พี่หม่อม :)
สวัสดีค่ะ อาจารย์ Wat
ต้อมชอบหนังสือเล่มนี้ที่อาจารย์อ้างอิงถึง..เป็นอย่างมาก ความสุขที่หายไป ตามกลับคืนได้หรือยัง?
ตั้งแต่เราลืมตาขึ้นบนโลก ชีวิตเราก็เผชิญอยู่กับความไม่แน่นอนแล้วเนอะ
สวัสดีครับ หนูต้อม เนปาลี :)
บุญรักษา ครับ :)
ค่ะ ได้มาจากพี่สาวที่รักมากคนหนึ่ง เนื่องในโอกาสที่ได้ไปเดินในงานหนังสือด้วยกัน อิ่ม(ใจ)จัง กะตังค์อยู่ครบ
อ่านแล้วรู้สึกดีค่ะ ^^ ชอบมากกับเรื่องราวในนั้น
หนังสือของท่านชุติปัญโญมีหลายเล่มมาก ๆ ครับ ล้วนแต่เป็นข้อเขียนทีแสดงถึงความจริงของชีวิตที่มนุษย์หลาย ๆ คนคิดไม่ถึงครับ .. หนูต้อมลองหาอ่านเล่มอื่น ๆ ดูนะครับ
แต่ถ้าไม่อยากหาอ่าน ก็แวะเข้าไปแอบอ่านในบล็อก "หอมกลิ่นหนังสือ" ดูสารบัญนะจ๊ะ
http://gotoknow.org/blog/scented-book/toc
บุญรักษา ครับ :)
ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ แล้วต้อมจะเข้าไปอ่านตามลิงค์ที่อาจารย์กรุณาให้มา หากมีกะตังค์ค่อยหาซื้อมาเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็พยายามไปเดินในงานสัปดาห์หนังสือกับพี่สาวในเดือนตุลาคมนี้ แล้วทำตาวับวาว แถวๆ บู๊ทหนังสือของท่านชุติปัญโญ อิอิ ดีไหมคะ?
ป.ล. แล้วตกลงหาร้านก๋วยเตี๋ยวลีลาเจอหรือยังเอ่ย?
สวัสดีครัีบอาจารย์
สุดท้ายก็แค่ันั้น แต่ก่อนจะสุดท้ายนี่ซิครับ จะทำให้รู้ได้อย่างไรว่าแค่นั้น? เพราะส่วนใหญ่สำนึกเอาได้ก็ตอนสุดท้ายนั่นล่ะครับ
ขอบพระคุณครับ
หุ หุ หนูต้อม เนปาลี ... เจอแล้ว แต่ ... มันปิด อ่ะจิ เลยยังไม่ได้ไปชิมรสเลยครับ ว่าแต่อร่อยจริง ๆ เหรอ :)
555 คุณ เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ ... ช่างคิด
คงอยู่ที่ "สติ" และ "ปัญญา" แล้วล่ะ ว่าจะควบคุมกายและจิตได้อย่างไรบ้าง
บุญรักษา ครับ :)
สวัสดีครับอาจารย์
ผมเคยเขียนบันทึกไว้ว่า
กาลเวลากำหนดความเป็นไปของชีวิต
ในแต่ละช่วงแต่ละฉากมีสีสันดุจฉากละคร
มีทุกข์บ้าง สุขบ้าง คละเคล้ากันไป
จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ขอบคุณครับ
ขอบใจมากครับ คุณครูเฉลิมศักดิ์ ครูดอย ที่แวะมาเยี่ยมบันทึกของครู :)
อ่านแล้ว ทำให้รู้สึกดีๆมากเลลยครับ
ขอบพระคุณ ท่าน ศน.อาจารย์ เอื้องแซะ ครับ ... เชียร์ลูกศิษย์ไว้ต้น ๆ ก่อนไงครับ อิ อิ ... สุดท้ายก็เชิงตะกอน คือ คำสอนของบันทึกนี้ อย่างอาจารย์ว่า ครับ :)
ขอบคุณ คุณ jumpzz ที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ :)
บางประโยคตรงกับชีวิตผมจริงๆ
ผมเคยคาดหวังว่าจะได้ แต่พลาด ผิดหวังอย่างแรง เวลาทำอะไรผมจะไม่คาดหวังในสิ่งที่ยังไม่เกิด เผื่อเวลาไม่ได้อย่างที่หวังจะได้ไม่เสียใจอีก
ขอบคุณครับ คุณ aonjung ... ยินดีครับ :)
* อ่านบันทึกอาจารย์ทีไร โดนใจจั๋งหนับทุกคราครั้งค่ะ
* Life is not mere existence, it's tender experience ?
* เพราะชีวิตนี้มีคุณค่า มีความหมายต่อคนที่เรารัก และรักเรา
* ทั้งธรรมชาติ แผ่นดิน ชุมชน สังคม ครอบครัว และความภาคภูมิใจของตัวเอง
* ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ อาจารย์ อ.ศิริพร เกื้อกูลนุรักษ์ :)
ขอบคุณครับ :)
ขอบพระคุณ อาจารย์ ศิริพร เกื้อกูลนุรักษ์ นะครับ ... อย่ากังวลใจนะครับ
อาจารย์เคยอ่านบันทึก ขอมอบเพลง "ก้อนหินก้อนนั้น" ให้กับผู้ที่ท้อถอย..หมดกำลังใจ นี้หรือยังครับ
บุญรักษา ครับอาจารย์ :)