หมอทั้งหลายได้เรียนรู้มาจากโรงเรียนแพทย์ว่าแนวความคิดเรื่องการวินิจฉัยและการรักษาโรคนั้น เป็นแนวความคิดที่คล้ายกับการซ่อมแซมแก้ไขเครื่องยนต์ แต่ไอ้แนวคิดแคบๆที่เน้นการซ่อมแก้ปัญหานี่แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เรา มองไม่เห็นพลังความมหัศจรรย์ของกระบวนการของชีวิต
หลายๆปีที่ผ่านมา เวลาคนไข้หายจากโรคที่ฉันพยายามรักษา ฉันจะรู้สึกว่า นี่เป็นผลพวงจากฝีมือการวินิจฉัยและรักษาของฉัน มันทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นในฝึมือการตัดสินใจ ในความรู้และทักษะที่ฉันมี
ช่วงหลายๆปีนั้น ฉันไม่ได้รู้ ไม่ได้มองเห็นเลยว่า ถ้าปราศจากการทำงานของกระบวนการทางชีวภาพ ทางอารมณ์ และจิตวิญญาณของผู้ป่วยที่ทำปฎิกริยากับการรักษาที่ฉันให้แล้ว ยังไงซะมันก็ไม่มีผล
ตลอดเวลาที่ฉันคิดไปเองว่าฉันเองเท่านั้นที่เป็นคนแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วย ฉันไม่ได้รู้เลยว่า หน้าที่ของฉันนั้นเป็นแค่ "ผู้ประสานงาน"
"All the time I thought I was reparing, I was collaboating"
---------------------------------------------------------------------------------
บทความด้านบนนั้นเขียนโดยคุณหมอ เรเชล นาโอมิ เรเมน ค่ะ
คุณหมอจบบทความว่า
ุถ้าเรามองผู้ป่วยให้เห็นว่าชีวิตเค้าเป็นกระบวนการ มีพลังชีวิตอยู่ หมอจะดูแลรักษาผู้ป่วยโดยมองตัวเองว่าเป็นคนสวนมากกว่าเป็นช่างไม้
คนไข้คือต้นไม้ที่มีกระบวนการชีวิต หมอสามารถดูแลรักษาพุ่มกุหลาบได้ด้วยการเล็ม การตัดแต่งกิ่ง ให้ปุ๋ย ให้น้ำ ร่วมมือกับมัน กับกระบวนการของมันเพื่อที่จะให้ สิ่งที่ดีที่สุดเกิดขึ้น หมอมีหน้าที่นำความรู้และประสบการ์มาช่วยทำให้พลังชีิวิตของผู้ป่วย อยู่ในขีดสูงสุงเท่าที่จะหวังให้เป็นได้ แม้ในภาวะที่มีโรคคุกคามอยู่
นอกจากนี้หมอต้องไว้ใจ ต้องเชื่อในกระบวนการที่ดำเนินอยู่ เพราะความไว้ใจนี้เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้หมอสามารถ "บรรเทาทุกข์" ให้ผู้ป่วยได้ มันทำให้ทั้งหมอทั้งคนไข้มีกำลังใจ ไม่กลัว และ มีความหวังที่จะผ่านกระบวนการชีวิตช่วงนี้ไปได้
---------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีด้วยความคิดถึงเป็นอันมาก(ๆๆๆ)ค่ะ อ.มัท
ดีใจจังที่เห็นบันทึก อ.มัทแต่เช้า (และพี่แอมป์เข้าระบบได้โดยเน็ตไม่ดาวน์) เลยรีบวิ่งถลันถลาเข้ามา (อารามดีใจ อิๆๆๆ)
ชอบคำเหล่านี้จัง... "คนสวน ต้นไม้ เล็ม ตัดแต่งกิ่ง ให้ปุ๋ย ให้น้ำ Kitchen Table Wisdom และ ความไว้ใจ" .....ดูเหมือนจะอยู่แถวๆบ้านและความเป็นครอบครัวทั้งสิ้น
คุณหมอเรเชลพูดได้จับใจเหลือเกิน พี่แอมป์มานึกๆดูแล้วก็เห็นอย่างหนึ่ง การจะก้าวข้ามกำแพงความรู้วิทยาศาสตร์กลไกไปได้ ก็ต่อเมื่อเรารักคนๆหนึ่งแบบที่เรารักคนในครอบครัวของเรา
ง่ายดีจัง....และไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แค่"คิดกลับ"ไปที่บ้านอีกที ก็จะเห็นความรักความเมตตาต่อกันอย่างง่ายเช่นนั้น
"ผู้ที่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ย่อมคงไว้ซึ่งความเมตตาเสมอ"
ขอบคุณ อ.มัทมากนะคะ ที่เอาเรื่องน่าชื่นใจมาฝากแต่เช้า ขอให้ อ.มัทมีพลังเต็มเปี่ยมที่จะเดินหน้าเขียน(และพิมพ์)วรรคทองในเดอะสิสต่อไปอย่างคล่องปรื๋อนะคะ : )
สวัสดีค่ะคุณมัท
วิ่งตามพี่แอมป์เข้ามา ( และยืนยันว่าพี่แอมป์ไม่ได้ล้ม อิ อิ อิ แสดงว่า " ยังไหว " ฮี่ ฮี่ ) โดยไม่ล็อคอินค่ะ เพราะชอบชะมัดเลย ถ้าปราศจากการทำงานของกระบวนการทางชีวภาพ ทางอารมณ์ และจิตวิญญาณของผู้ป่วยที่ทำปฎิกริยากับการรักษาที่ฉันให้แล้ว ยังไงซะมันก็ไม่มีผล
ตลอดเวลาที่ฉันคิดไปเองว่าฉันเองเท่านั้นที่เป็นคนแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วย ฉันไม่ได้รู้เลยว่า หน้าที่ของฉันนั้นเป็นแค่ "ผู้ประสานงาน"
"All the time I thought I was reparing, I was collaboating"
" หมอคือคนสวน " ..ช่างเป็นเช้าที่บรรเจิดมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้ หอมฟอดใหญ่ๆพร้อมกอดแน่นๆอีกทีค่ะ
ขอให้เดอะสิส ( ตามคำพี่แอมป์ ) ผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ ^ ^
ขอขอบคุณอาจารย์มัทนา...
สวัสดีครับอาจารย์
โอ้โห ! ไม่รู้จะบอกว่ายังไง ถูกใจที่สุดเลยครับ สำหรับบทความนี้ ขอบคุณมากครับที่เอามาฝาก ตอนนี้ save บันทึกนี้ใน HD เลย ( ปรกติเวลาเจอบันทึกที่ถูกใจ จะเก็บไว้เสมอ กลัวหาย ) นี่เป็นอีก หนึ่งบันทึกที่เก็บไว้ครับ no comment เลย
สวัสดีค่ะ
คุณหมอหายไปนานนะคะ ช่วงนี้ คิดถึงค่ะ
"All the time I thought I was reparing, I was collaboating"
สัมพันธภาพที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วยคือสิ่งสำคัญยิ่งต่อมนุษย์ทุกยุคสมัย
แต่ปัจจุบัน สายสัมพันธ์นี้ ค่อนข้างเปราะบาง
อยากให้สายใยเอื้ออาทร "หมอ-คนไข้" เป็นเหมือนสมัยก่อนค่ะ
tag คิดถึงนะรับอาจารย์ http://gotoknow.org/blog/humanized-heart/141600